หน้าเว็บ

นางสาวสายพิณ สิงห์ใจ 5130125401248


นางสาวสายพิณ  สิงห์ใจ  5130125401248

บทที่ 8 เทคนิคการบริหารทรัพยากรมนุษย์และการจัดการที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย

แนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีหลักการที่สำคัญคือ การเน้นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ การมีส่วนร่วมของฝ่ายบริหาร การทำงานในเชิงรุก และการคิดอย่างเป็นระบบ จากแนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าว ทำให้ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ควรปรับบทบาทใหม่ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านบุคลากร หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ และผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จำแนกได้เป็น 2 ระบบที่สำคัญ อันได้แก่ ระบบคุณธรรม และระบบอุปถัมภ์ ระบบคุณธรรมมีหลักการที่สำคัญ อันได้แก่ ความเสมอภาคในโอกาส ความสามารถ ความมั่นคงในอาชีพ และความเป็นกลางทางการเมือง ส่วนระบบอุปถัมภ์ จำแนกได้เป็นระบบสายโลหิต ระบบชอบพอเป็นพิเศษ และระบบแลกเปลี่ยน สำหรับกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มี 7 ขั้นตอนที่สำคัญ อันได้แก่ การวางแผนและนโยบายทางด้านทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ การบำรุงรักษาทรัพยากรมนุษย์ การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการพ้นสภาพจากทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ

นอกจากนี้ นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ยังมีบทบาทสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้าง และลูกจ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการของบุคคลสองฝ่าย ซึ่งนักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีความรู้ในเรื่องแรงงานสัมพันธ์และกฎหมายแรงงานเป็นอย่างดีด้วย.




นางสาวสายพิณ สิงห์ใจ 5130125401248


บทที่ 7 การพัฒนาองค์การไปสู่องค์การแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในการพัฒนาองค์กรต่อไปในอนาคต โครงสร้างการเรียนรู้มีอยู่ 7 ระดับ

1. บุคคลเรียนรู้ (Personal Learning) มีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จัดสอน อบบรม ให้บุคคลมีโอกาสเรียนรู้ รวมถึงการประเมินวัดผลและทดสอบเป็นรายบุคคล

2. ทีมเรียนรู้(Team learning) โดยทุกคนร่วมเรียนรู้และมีการถ่ายทอดงานให้กัน และสามารถทดแทนกันได้หากมีผู้หนึ่งผู้ใดในทีมขาดไป

3. เรียนรู้ข้ามสายงาน (Cross Functional Learning)เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าระหว่างทีมไม่มีการเรียนรู้ข้ามสายงาน ปัญหาในการประสานงานจะเกิดขึ้น การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และทักษะวิธีคิดข้ามสายงาน จะทำให้เข้าใจระบบงานซึ่งกันและกัน นอกจากนั้น ในการขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอบรู้ในทุกสายงานขององค์กร ควรได้มีการหมุนเวียนให้ครบทุกสายงานก่อน(Spiral Career Path)

4. เรียนรู้เรื่องภายในองค์กร พนักงานต้องรู้และเข้าใจภาวะความเป็นจริงขององค์กรว่าเป็นอย่างไร มีทิศทาง(Corporate Vision) ไปทางใหน กลยุทธ์ธุรกิจ การตลาดและหน้าที่ เป็นอย่างไร ตลอดจน เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมขององค์กร(Organizational Culture) เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการอยู่ร่วมกัน

5. เรียนรู้สภาวะแท้จริงภายนอกองค์กร พนักงานไม่ใช่จะเรียนรู้เฉพาะแต่งานประจำเท่านั้น ต้องเรียนรู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรที่จะก่อให้เกิดผลคุกคามต่อความอยู่รอดขององค์กร มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นบ้าง เพื่อนำมาปรับปรุงองค์กรให้ทันสมัย ก้าวหน้าทันโลก

6. เรียนรู้อนาคตและโอกาสทางธุรกิจ ในระดับนี้ทำได้ยาก ต้องมีการสอนและฝึกฝนพนักงาน พอควร โดยเฉพาะระดับผู้นำต้องรู้ที่จะวิเคราะห์ และคาดการณ์อนาคตได้ มองเห็นช่องทางธุรกิจที่สามารถทำได้ในอนาคตนอกเหนือจากธุรกิจที่ทำในปัจจุบัน

7. องค์ความรู้นำไปปฏิบัติให้เกิดผลตามวิสัยทัศน์ ส่วนนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะการจะเป็นองค์กรเรียนรู้ได้นั้น จะต้องมีการนำความรู้ไปปฏิบัติจริง การถ่ายทอดเป็นเพียงการสร้างความรู้ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้เกิดผล และต้องนำผลที่ได้จากการปฏิบัติมาวิเคราะห์และสังเคราะห์สร้างภูมิปัญญาใหม่ๆเพื่อเสริมศักยภาพตลอดไป ความรู้ความเข้าใจเท่านั้นไม่ได้เกิดผล และต้องนำผลที่ได้จากการปฏิบัติมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์สร้างภูมิปัญญาใหม่ๆเพื่อเสริมศักยภาพตลอดไป

อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลจะเรียนรู้ในทั้ง7ระดับดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และ.รู้ในวิธีการเรียนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวดที่จะทำให้เกิดการรู้อย่างลึกซึ้งเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างได้ผลการที่จะรู้วิธีการเรียน นั้นถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของบุคลเรียนรู้ ที่มักถูกมองข้ามบ่อยๆ มนุษย์ทุกคนมีในทักษะในการเรียน (Learning skill &potentiality) และรับรู้ได้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพทางร่างกาย ภูมิหลังการเลี้ยงดูในอดีต และประสพการณ์ที่ได้รับ รวมถึงปัจจัยความต้องการ ที่กระตุ้นให้บุคคลนั้นมีการเรียนรู้การใช้ชีวิตและการแก้ปัญหา จนก่อเกิดทักษะ ความสามารถที่จะรับรู้และเข้าใจความต้องการของตนเอง วิธีการที่จะได้มา ตลอดจนคาดการณ์ผลลัพธ์จากการลงมือกระทำได้อย่างถูกต้อง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบได้ในบุคคลอัจฉริยะในบ้านเราไม่น้อย

นางสาวสายพิณ สิงห์ใจ 5130125401248


นางสาวสายพิณ สิงห์ใจ 5130125401248

บทที่ 6 การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และ วิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อการบริหารจัดการ

ประเทศไทยกำลังเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศความตื่นตัวในสังคมไทยเกี่ยวกับ AEC ยังมีอยู่น้อยมาก การพยายามทำความเข้าใจถึงผลกระทบของ AEC และการเตรียมความพร้อมรับมือกับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC ยังจำกัดอยู่เฉพาะผู้ประกอบการเพียงบางกลุ่มเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปร่วมเสวนาในงาน การสร้างองค์กรแห่งความสุขHappy Workplace ในยุค 3.0ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ผมได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในภาพกว้างในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผมจะขอแบ่งปันความเห็นของผมที่ได้นำเสนอในงานดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน โดยในบทความตอนแรกนี้เป็นเรื่องจุดอ่อนและจุดแข็งของไทยในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC จุดแข็งของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอื่นของ AEC ผมเห็นว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบในหลายประเด็น ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้ทำให้ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนของ AEC

1) ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่ศูนย์กลางของภูมิภาคและมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ที่ตั้งของประเทศไทยยังมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ แม้ปีที่ผ่านมาไทยต้องเผชิญวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ แต่เป็นภัยพิบัติที่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้และสามารถเตรียมการป้องกันได้

2) ระดับการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยมีระดับการพัฒนาประเทศสูงกว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน แรงงานมีฝีมือและบุคลากรระดับสูงมีจำนวนมากพอสมควร ประเทศไทยยังมีระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและทั่วถึง โครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนาค่อนข้างมากโดยเฉพาะถนน ขณะที่สถาบัน กฎระเบียบ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีการพัฒนามากพอสมควร นอกจากนี้เงินบาทได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การค้าชายแดนสามารถซื้อขายเป็นเงินบาทได้

3) ขนาดของประเทศและตลาด เศรษฐกิจไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย ไทยยังมีประชากรจำนวนมาก ใกล้เคียงกับจำนวนประชากรของเมียนมาร์และเวียดนาม แต่คนไทยมีระดับรายได้และมีกำลังซื้อสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ไทยมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาและรองรับการลงทุนในภาคการผลิต แตกต่างจากสิงคโปร์ที่มีพื้นที่จำกัด

4) ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอาเซียน ไทยมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับอาเซียน 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 หรือร้อยละ 15 ของมูลค่าการค้าภายในอาเซียนทั้งหมด นับเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย นอกจากนี้ไทยยังเกินดุลการค้าต่ออาเซียน 1.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ และเป็นเพียง 1 ใน 3 ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลต่ออาเซียน ซึ่งสะท้อนว่าไทยน่าจะรับประโยชน์จาก AEC โดยเฉพาะในแง่การขยายการส่งออกไปยังอาเซียน

5) ความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศสูงมาก ระดับการเปิดประเทศ degree of openness ของไทยสูงถึงร้อยละ 129 ของจีดีพีในปี 2548 การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด ไทยจึงมีความพร้อมและประสบการณ์ในการทำการค้าและดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งหมายความว่า การเข้าเป็น AEC จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการค้าและการลงทุนจากประเทศนอกกลุ่ม AEC มากกว่าประเทศสมาชิก AEC ส่วนใหญ่

สำหรับจุดอ่อนของประเทศไทยในการเข้าเป็นสมาชิก AEC มีอยู่หลายประเด็นเช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่หรืออาจทำให้เราเสียโอกาสหรือได้รับผลกระทบจาก AEC มากขึ้น

1) การขาดความเข้าใจและขาดความตระหนัก ผลการสำรวจของหลายสถาบัน พบว่าสังคมไทยยังขาดความตื่นตัวเกี่ยวกับการเป็น AEC ประชาชนและผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความตระหนักถึงความสำคัญ ผลกระทบ และความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม ยกเว้นผู้ประกอบการขนาดใหญ่หรือหน่วยงานที่ทำธุรกิจกับต่างประเทศอยู่แล้ว การขาดความเข้าใจและความตระหนักอาจสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการไทย ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ประโยชน์จาก AEC ทำให้เสียโอกาสหรือพลาดโอกาสที่กำลังจะเปิดออก และทำให้ขาดการเตรียมความพร้อมและไม่สามารถปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบจาก AEC ได้ทันเวลา

2) การไม่รู้จักเพื่อนบ้าน นอกจากคนไทยจะไม่เก่งในการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลแล้ว คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเพื่อนบ้านน้อยมาก ระบบการศึกษาของไทยขาดทางเลือกในการเรียนรู้ ภาษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่สิ่งอำนายความสะดวกต่างๆ ไม่เอื้อต่อการติดต่อค้าขาย ลงทุน หรือท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน

3) ความไม่สะดวกบางด้านในการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าจากการจัดอันดับ Doing Business ของธนาคารโลก ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 จาก 183 ประเทศ (สิงค์โปรอยู่อันดับ 1 และมาเลเซียอันดับ 18) แต่หากพิจารณาดัชนีบางด้านพบว่ายังเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ได้แก่

การเริ่มต้นธุรกิจธุรกิจที่เข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจในไทย ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการจำนวนมาก มีขั้นตอนหลายขั้นตอน และใช้เวลามากในแต่ละขั้นตอน

การขอสินเชื่อผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยเฉพาะรายย่อย และต้นทุนทางการเงินของไทยยังค่อนข้างสูง เพราะธุรกิจสถาบันการเงินของไทยยังมีลักษณะผูกขาดในระดับหนึ่ง

การจัดเก็บภาษีอัตราภาษีนิติบุคคลของไทยอยู่ที่ร้อยละ 30 สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคลน่าจะเป็นผลดีในการดึงดูดการลงทุน

4) ต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอัตราค่าจ้างแรงงานในประเทศไทยที่สูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนในโลกกำลังมองหาแหล่งลงทุนแหล่งใหม่ที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าจีน การลงทุนในโลกจึงมีแนวโน้มไหลเข้าไปยังเศรษฐกิจเกิดใหม่มากขึ้น เช่น อินโดนีเซีย เมียนมาร์ เป็นต้น นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีสัดส่วนต้นทุนด้านพลังงานและต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์สูงมาก ในภาวะที่ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ไทยจึงมีแนวโน้มสูญเสียความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

5) ปัญหาทางการเมืองและการบริหาร การพัฒนาของเศรษฐกิจไทยไปอย่างเชื่องช้าและต้องหยุดชะงักเป็นระยะๆ เนื่องจากมีอุปสรรคจากปัญหาทางการเมืองและการบริหาร เช่น ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งการปฏิวัติและการชุมนุมประท้วง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนแฝงสูงมาก ตลอดจนปัญหาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น

จากการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของประเทศไทยเมื่อต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC คำถามคือ ประเทศไทยได้เตรียมการรับมือกับการเข้าเป็น AEC แล้วหรือไม่ คำตอบคือ ดูเหมือนว่าประเทศไทยยังไม่มียุทธศาสตร์ของประเทศในเวทีอาเซียนไว้ชัดเจนนัก ทิศทางในอนาคตจึงเป็นไปตามแรงผลักของสถานการณ์ แต่ไม่ได้เกิดจากการวางแผนหรือเตรียมการล่วงหน้า ขณะที่มาตรการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็น AEC ไม่เห็นเป็นรูปธรรม สถานการณ์เช่นนี้จึงน่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทย

คำถามต่อมา ประเทศไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการรับมือกับ AEC อย่างไร สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ผมจะขออธิบายในบทความตอนต่อไป

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http:// www.kriengsak.com