บทที่
11
การบริหารจัดการธุรกิจสีเขียวและการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และคุณภาพชีวิต
ส่งเสริมมาตรการ Greening
supply chain
ได้มีการส่งเสริมผ่านการสัมมนาและฝึกอบรมให้แก่ภาคธุรกิจไทยให้เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้คู่ค้าใส่ใจในการจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษจากการประกอบธุรกิจ
นอกจากนี้ได้ทำการศึกษาและวิจัยในประเทศและต่างประเทศ
เพื่อทราบสถานการณ์การดำเนินงานในด้านนี้ และร่วมกันนำเสนอนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมให้แก่หน่วยงานรัฐ
จัดทำแผนแม่บทการช่วยเหลือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น
สถาบันได้จัดทำ
Master
Plan of the Green Partnership Plan ใน 2 แผน
คือระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 (ค.ศ. 2001-2005) และปี พ.ศ. 2549-2553 (ค.ศ. 2006-2010) เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นในการจัดการสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม
การจัดการสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค
การดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
สถาบันได้ร่วมกับองค์กรวิจัยของประเทศต่างๆ
หลายโครงการและได้ร่วมทีมประเมินงานวิจัยและภาคสนามในหลายประเทศ
เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการทำงาน การประสานงาน
และการควบคุมการทำงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยตัวอย่างงานวิจัยระหว่างประเทศที่สำคัญ
เช่น
ในปี
พ.ศ. 2547-2552
ได้ทำงานร่วมกับองค์กรวิจัยของประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย
อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีน บังคลาเทศ
ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณของ Institute for Global Environmental
Strategies (IGES) ในการทำงานวิจัยประเด็นการค้าและสิ่งแวดล้อมระดับเอเชีย-แปซิฟิค
(ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) โดยศึกษาถึงการรีไซเคิล SME ระบบข้อมูล
พลังงาน การเปิดการค้าเสรี เป็นต้น
ในปี
พ.ศ. 2551
ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development
Bank: ADB) และ The Energy and Resources Institute (TERI) ในเรื่อง Energy and climate change โดยร่วมกับองค์กรวิจัยในประเทศอินโดนีเซีย
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และญี่ปุ่น โดยสถาบันรับผิดชอบงานวิจัยใน 5 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา และไทย
ในปี
พ.ศ. 2552
ทำงานร่วมกับ ADB และ TERI ในเรื่อง Technology Transfer เพื่อเตรียมการเจรจาในการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(UNFCCC: COP 15 Negotiation) ณ กรุงโคเปนเฮเก็น
ประเทศเดนมาร์ก ร่วมกับองค์กรวิจัยในประเทศอินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และ
ญี่ปุ่น
ตัวอย่างธุรกิจที่สามารถบริหารจัดการธุรกิจสีเขียว
จานชามจากชานอ้อย
ชูคุณสมบัติย่อยสลายใน 45 วัน ใช้กับเตาไมโครเวฟได้โดยไม่มีสารก่อมะเร็งจานชามรวมถึงแก้วน้ำและกล่องบรรจุอาหารจากชานอ้อยนี้เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัท
บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างภาคเอกชน
กับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(สสว.) ถือเป็นที่แห่งแรกในประเทศ ที่ผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม
นายแพทย์วีรฉัตรกิตติรัตนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด จ.ชัยนาท กล่าวว่า บริษัทจัดตั้งมาแล้ว 2 ปี และอยู่ระหว่างทดลองตลาดในช่วงปีที่ 3 กำลังการผลิตอยู่ที่ 200 ล้านชิ้นต่อปี ใช้เยื่อชานอ้อย 3,000 ตันต่อปี จากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษวาดเขียน ทิชชูแบบหยาบและผ้าอนามัย ราคาขายของบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยจะแพงกว่ากล่องโฟมบรรจุอาหารแต่ก็ถูกกว่าพลาสติกประมาณ 20% และเมื่อเทียบคุณสมบัติแล้วบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100%
บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยสามารถทนร้อนจัดและเย็นจัดที่อุณหภูมิ -40 ถึง 250 องศาเซลเซียสจึงนำเข้าช่องแช่แข็งและอบในเตาอบหรือไมโครเวฟได้ ทั้งยังทนน้ำร้อน และน้ำมันขณะตั้งไว้ภายนอกได้ 150 องศาเซลเซียส โดยไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง ต่างจากกล่องโฟมบรรจุอาหาร ที่จะหลอมละลายเมื่อได้รับความร้อนและไขมัน
ด้านการย่อยสลายทางศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ทดสอบแล้วระบุว่าสามารถย่อยสลายหมดเกลี้ยงใน 45 วัน หลังจากฝังกลบในดิน และย่อยสลายได้เร็วขึ้นภายใน 31 วัน หากฝังกลบพร้อมกับเศษอาหารที่เหลือติดอยู่ เนื่องจากแบคทีเรียในอาหาร กอปรกับความร้อนและความชื้นในดิน ช่วยเพิ่มคุณสมบัติการย่อยได้ดีขึ้น
บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยสามารถขึ้นรูปได้ตามที่ต้องการเก็บได้นาน 10 ปี ผลิตภัณฑ์มีสีน้ำตาลอ่อนตามสีชานอ้อยธรรมชาติ เพราะการผลิตไม่ใช้สารคลอรีนในการฟอกสี ปัจจุบันบริษัทผลิตเป็น จาน ชาม ถาด ถ้วยขนาดต่างๆ กว่า 26 แบบ ซึ่งกว่า 80% ส่งออกต่างประเทศ โดยตลาดหลักคือ สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
นายแพทย์วีรฉัตรกิตติรัตนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด จ.ชัยนาท กล่าวว่า บริษัทจัดตั้งมาแล้ว 2 ปี และอยู่ระหว่างทดลองตลาดในช่วงปีที่ 3 กำลังการผลิตอยู่ที่ 200 ล้านชิ้นต่อปี ใช้เยื่อชานอ้อย 3,000 ตันต่อปี จากโรงงานผลิตเยื่อกระดาษวาดเขียน ทิชชูแบบหยาบและผ้าอนามัย ราคาขายของบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยจะแพงกว่ากล่องโฟมบรรจุอาหารแต่ก็ถูกกว่าพลาสติกประมาณ 20% และเมื่อเทียบคุณสมบัติแล้วบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100%
บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยสามารถทนร้อนจัดและเย็นจัดที่อุณหภูมิ -40 ถึง 250 องศาเซลเซียสจึงนำเข้าช่องแช่แข็งและอบในเตาอบหรือไมโครเวฟได้ ทั้งยังทนน้ำร้อน และน้ำมันขณะตั้งไว้ภายนอกได้ 150 องศาเซลเซียส โดยไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง ต่างจากกล่องโฟมบรรจุอาหาร ที่จะหลอมละลายเมื่อได้รับความร้อนและไขมัน
ด้านการย่อยสลายทางศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ทดสอบแล้วระบุว่าสามารถย่อยสลายหมดเกลี้ยงใน 45 วัน หลังจากฝังกลบในดิน และย่อยสลายได้เร็วขึ้นภายใน 31 วัน หากฝังกลบพร้อมกับเศษอาหารที่เหลือติดอยู่ เนื่องจากแบคทีเรียในอาหาร กอปรกับความร้อนและความชื้นในดิน ช่วยเพิ่มคุณสมบัติการย่อยได้ดีขึ้น
บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยสามารถขึ้นรูปได้ตามที่ต้องการเก็บได้นาน 10 ปี ผลิตภัณฑ์มีสีน้ำตาลอ่อนตามสีชานอ้อยธรรมชาติ เพราะการผลิตไม่ใช้สารคลอรีนในการฟอกสี ปัจจุบันบริษัทผลิตเป็น จาน ชาม ถาด ถ้วยขนาดต่างๆ กว่า 26 แบบ ซึ่งกว่า 80% ส่งออกต่างประเทศ โดยตลาดหลักคือ สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก, ฉบับบวันที่ 11 มิถุนายน 2551