หน้าเว็บ

รวมส่ง 2 ครั้งของ นัตพล ใบเรือ 233การจัดการทั่วไป รุ่น 19

กระบวนการบริหารองค์การของกูลิคลูเธอร์และลินดัลเออร์วิค ( Luther Gulick and Lyndal Urwick) ประกอบด้วยขั้นตอน 7 ขั้น รวมเรียกว่า "POSDCORB" ซึ่งเป็นอักษรนำขององค์ประกอบกระบวนการ ดังนี้
1.การวางแผนงาน ( Planing)
หมายถึง การจัดวางโครงการ แผนปฏิบัติงาน และวิธีการปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า ผู้จัดการองค์กรต้องวางแผนงานทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน เพราะแผนงานจะเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งองค์กร ซึ่งประกอบด้วย แผนงานหลัก และแผนงานย่อย แผนงานต้องมีลักษณะยืดหยุ่นได้
2. การจัดหน่วยงาน ( Organization)
หมายถึง การกำหนดโครงสร้างอำนาจหน้าที่ การแบ่งส่วนงาน และการจัดสายงาน
3.การจัดตัวบุคคล ( Staffing )
หมายถึง การบริหารงานด้านบุคลากร ได้แก่ การจัดอัตรากำลัง การสรรหาและพัฒนาบุคลากร การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การส่งเสริมขวัญและกำลังใจ สวัสดิการ และการเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงาน "คน" เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ที่ส่งผลให้งานสำเร็จหรือล้มเหลว
4.การอำนวยการ ( Directing )
หมายถึง การวินิจฉัยสั่งการ การควบคุมบังคับบัญชา และการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ในฐานะหัวหน้าหน่วยงาน หัวหน้าต้องมอบหมายหน้าที่ให้ลูกน้องแต่ละคนตามลำดับ โดยให้สัมพันธ์และสอดคล้องกับความรับผิดชอบแต่ละตำแหน่ง ประกาศใช้ระเบียบให้ปฏิบัติตาม มีการตัดสินใจสั่งการ อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
5. การประสานงาน ( Coordinating)
หมายถึง การประสานกิจกรรมต่างๆของหน่วยงาน เพื่อให้เกิดมีการร่วมมือที่ดีและนำไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน
6. การรายงาน ( Reporting)
หมายถึง การรายงานผลการปฏิบัติงานของบุคลากรระดับต่างๆ ในหน่วยงาน เพื่อให้ผู้บริหารและสมาชิกหน่วยงานได้รับทราบความเคลื่อนไหวและความคืบหน้าของกิจการอย่างสม่ำเสมอ
7. การบริหารงบประมาณ ( Budgeting)
หมายถึง การจัดทำงบประมาณ การจัดทำบัญชีการใช้จ่ายเงิน และการควบคุมตรวจสอบทางด้านการเงินและทรัพย์สิน
รายการอ้างอิง
เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารศูนย์สื่อเพื่อการศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2550.

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/275013



สภาพแวดล้อมขององค์การ
1.สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ
องค์การที่จะได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างยั่งยืน จะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การหรือสภาพแวดล้อมทั่วไป ประกอบด้วย
1. แรงผลักดันจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ผู้บริหารในปัจจุบันจะต้องตื่นตัวและรู้เท่าทันความเป็นไปของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและระดับโลก เพราะต้องอยู่ท่ามกลางการแข่งขันแย่งชิงลูกค้า ขณะที่ทรัพยากรต่างๆ ก็มีอยู่อย่างจำกัด
2. แรงผลักดันจากปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่สามารถกำหนดได้จากทัศนคติ ความต้องการ ความคาดหวัง การศึกษา ความคิด ความเชื่อ ค่านิยมของผู้คนในสังคมนั้นๆ
3. แรงผลักดันจากปัจจัยทางด้านกฎหมายและการเมือง หมายถึง กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ที่ออกโดยรัฐบาล เพื่อกำหนดและควบคุมการประกอบกิจการต่างๆ ส่วนปัจจัยด้านการเมืองคือ ทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มีต่อการประกอบกิจการของภาคเอกชน
4. แรงผลักดันจากสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้ไวมาก องค์การใดต้องการอยู่รอดและเพิ่มความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จะต้องพัฒนาและจัดหาเทคโนโลยีเข้ามาใช้
5. สภาพแวดล้อมอันเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เนื่องจากมีการทำลายทรัพยากรและสภาวะแวดล้อมทุกด้าน ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น องค์การธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัว เพราะหากดำเนินการต่างๆ โดยขาดวิจารณญาณแล้ว อาจส่งผลเสียหายต่อองค์การทั้งทางกายภาพและด้านภาพลักษณ์ขององค์การ
2. สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
เป็นการมุ่งหาแนวทางหรือกระบวนการที่จะบริหารและจัดการองค์การให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหารคือผู้มีหน้าที่หลักในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ เพื่อให้
ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค อย่างไรก็ตามแนวทางในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การอาจต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. หลักการคัดสรรและตรวจสอบถึงสภาพแวดล้อม หมายถึง กลวิธีการค้นหาข้อมูล ข้อเท็จจริง นำไปสู่การตีความหมาย เช่น คำถามเกี่ยวกับสถานภาพคู่แข่ง คุณภาพสินค้าของคู่แข่ง
2. การคาดการณ์ถึงสภาพแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
3. แนวทางการใช้วิธีเปรียบเทียบสถานะปัจจุบันขององค์กรกับคู่แข่ง
แนวทางในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การให้เห็นภาพอย่างชัดเจน อาจดำเนินตามหลักการวิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง, จุดอ่อน, โอกาส, อุปสรรค)
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้วยวิธีการเปรียบเทียบมาตรฐานกับคู่แข่ง หรือ Benchmarking หมายถึง วิธีหรือกระบวนการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศขององค์การ โดยการวิเคราะห์แนวปฏิบัติของคู่แข่งอย่างละเอียด แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับองค์การของตัวเอง ซึ่งอาจเริ่มด้วยแนวทางต่อไปนี้
1. การมุ่งเน้นไปที่ปัญหาใดปัญหาหนึ่งแล้วพยายามหาคำอธิบายหรือทำความเข้าใจปัญหาอย่างรอบคอบ
2. รู้จักใช้ประโยชน์จากพนักงานของบริษัทซึ่งจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
3. การศึกษาถึงแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
4. การหลีกเลี่ยงประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน เช่น เรื่องราคา ข้อมูลสินค้าใหม่
5. การรักษาความลับ

อ้างอิงจาก

http://std.kku.ac.th/4930501912/fr/work/work-01.doc

นายภาสัณห์ ใจดี รหัส 5210125401024 เอกการจัดการทั่วไป

www.bmta.co.th เป็นเว็บไซต์ของขสมก. ดูข้อมูลสายรถประจำทาง เส้นทางเดินรถ เวลาเดินรถ

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ชื่อย่อ: ขสมก อังกฤษ: Bangkok Mass Transit Authority - BMTA) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดย พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พุทธศักราช 2519 (ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม) มีหน้าที่จัดบริการรถโดยสารประจำทาง เพื่อรับส่งประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร รวม 108 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 3,509 คัน (กันยายน พ.ศ. 2554) แบ่งเป็นรถธรรมดา 1,659 คัน รถปรับอากาศ 1,850 คัน และมีรถของบริษัทเอกชน ที่ร่วมวิ่งบริการ ทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศ จำนวน 4,016 คัน, รถมินิบัส จำนวน 844 คัน, รถเมล์เล็กในซอย จำนวน 2,312 คัน, รถตู้โดยสารปรับอากาศ จำนวน 5,315 คัน และรถตู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ จำนวน 213 คัน รวมทั้งสิ้น 16,209 คัน 445 เส้นทาง
ขสมก. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมากเป็นลำดับที่ 2 รองจากการรถไฟแห่งประเทศไทย คือมีผลขาดทุน 4,990 ล้านบาท
การบริการ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 (ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2519) มีภาระหน้าที่ในการจัดบริการรถโดยสารประจำทางวิ่งรับส่งประชาชนในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ จัดรถวิ่งบริการในเส้นทางต่าง ๆ รวม 108 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 3,509 คัน (ณ เดือน กันยายน 2554) แยกเป็นรถธรรมดา 1,659 คัน รถปรับอากาศ 1,850 คัน และมีรถของบริษัทเอกชนที่ร่วมวิ่งบริการกับ ขสมก.ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศจำนวน 4,016 คัน, รถมินิบัส จำนวน 844 คัน, รถเมล์เล็กในซอย จำนวน 2,312 คัน รถตู้โดยสารปรับอากาศ จำนวน 5,315 คัน และรถตู้ CNG 213 คัน รวมรถที่วิ่งให้บริการประชาชนในกรุงเทพมหานครมี จำนวน 16,209 คัน 445 เส้นทาง

อ้างอิง
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ .(ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.bmta.co.th/th/index.php .
๕ กรกฎาคม ๒๕๕

นางสาวสายฝน โป่งมะณี รหัส 5210125401003 เอกการจัดการทั่วไป ปี 4

www.dxplace.com
โปรแกรมบริหารการขนส่ง DX TMS พร้อมเปิดให้สมาชิกใช้งาน ฟรี!! คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม
DX TMS เป็นระบบบริหารการขนส่ง On Demand รองรับการขนส่งทั้งแบบเหมาคัน (Full Truck Load) และรายชิ้น (Less Than Truck Load) ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ของการบริหารจัดการขนส่ง ตั้งแต่ รับคำสั่งจ้าง จ่ายงาน จ่ายน้ำมัน/แก็ส ตรวจสอบและควบคุมการจัดส่งสินค้า จนกระทั่งออกใบวางบิลเก็บเงินผู้ว่าจ้างได้ระบบบริหารการขนส่งแบบเหมาคัน (Full Truck Load)
ระบบบริหารการขนส่งเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการบริหารธุรกิจขนส่ง ช่วยในการจัดการระบบงาน และเก็บข้อมูลต่างๆในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบจะครอบคลุมกิจกรรม ดังนี้
ระบบรับคำสั่งจ้างจากลูกค้า
ระบบการวางแผนการขนส่ง
ระบบการกระจายสินค้า
ระบบการควบคุมการขนส่ง
ระบบการวางบิล
ระบบบริหารจัดการทรัพยากร ได้แก่ รถ พนักงานขับรถ เงินสดย่อย ถังน้ำมัน เป็นต้น
ระบบงานงานซ่อมบำรุง
ระบบรายงานต่างๆ
DX TMS เป็นระบบบริหารการขนส่ง On Demand รองรับการขนส่งทั้งแบบเหมาคัน (Full Truck Load) และรายชิ้น (Less Than Truck Load) ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ของการบริหารจัดการขนส่ง ตั้งแต่ รับคำสั่งจ้าง จ่ายงาน จ่ายน้ำมัน/แก็ส ตรวจสอบและควบคุมการจัดส่งสินค้า จนกระทั่งออกใบวางบิลเก็บเงินผู้ว่าจ้างได้

นางสาวสายฝน โป่งมะณี รหัส 5210125401003 เอกการจัดการทั่วไป ปี4

แนวคิดทฤษฎีทางการบริหารจัดการ
แนวความคิดการจัดการตามสถานการณ์
แนวคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับสถาพการในยุคใหม่ที่ต้องเผชิญกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ขององค์การ เป็นแนวคิดทางการบริหารที่มุ่งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรผันได้แก่ สภาพแวดล้อมกับการเปลี่ยนแปลงองค์การอย่างเหมาะสม โดยการออกแบบองค์การอย่างเหมาะสม และกระทำการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะอย่างเกิดขึ้น คือ
1.มุ่งให้ความสำคัญต่อสภาพแวดล้อมองค์การ
2.ยอมรับหลักการต่าง ๆ ที่เป็นสากลควบคู่กับการมององค์การแต่ละองค์การมีลักษณะพิเศษเฉพาะ
3.มุ่งแสวงหาความเข้าใจของความสัมพันธ์ที่ขึ้นอยู่ระหว่างกับระบบย่อยต่าง ๆ ภายในองค์การตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมภายนอก
4.ยอมรับว่าสภาพแวดล้อมภายนอกและระบบย่อยภายในต่าง ๆ ของแต่ละองค์การค่อนข้างมีลักษณะพิเศษอย่าง
จะเห็นว่าแนวคิดนี้มีความเข้าใจว่า ไม่มีแนวทางของการบริหารหรือทฤษฎีการบริหารใดที่ดีทีสุดเพียงแนวทางเดียว ที่จะใช้ได้กับองค์การทุกรูปแบบ การบริหารจะมีประสิทธิภาพย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถประยุกต์และเลือกใช้วิธีการอย่างเหมาะสมตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นวิธีการศึกษารูปแบบหรือแนวความคิดทางการจัดการ
ในการศึกษารูปแบบหรือทฤษฎีทางด้านการจัดการนั้น มีหลักเกณฑ์หรือทฤษฎีที่จะต้องศึกษาหลายรูปแบบด้วยกัน รูปแบบต่าง ๆ ของการจัดการเหล่านั้นจะต้องมีการนำเอาทฤษฎีทางด้านการจัดการรวมทั้งเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์และมีการพัฒนาปรับปรุงทฤษฎีกันต่อ ๆ มา
ในการศึกษารูปแบบทางการจัดการสามารถวิเคราะห์เป็นกลุ่มได้หลายอย่างด้วยกัน คือ
1. วิธีการศึกษาในรูปของกรณีศึกษาหรือจากการสังเกต (The Empirical or Case Approach) การศึกษาทางการจัดการแบบนี้เป็นการวิเคราะห์หรือศึกษาการจัดการโดยอาศัยประสบการณ์แล้วมาวิเคราะห์ การศึกษาการจัดการโดยวิธีนี้เป็นที่เชื่อว่าเป็นการศึกษาจากความสำเร็จหรือความผิดพลาดของงานบริหารเฉพาะกรณีไป และผู้ศึกษาจะต้องพยายามศึกษาจากปัญหาที่ระบุเอาไว้อย่างเด่นชัดและสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้นักการจัดการสามารถศึกษาและวิเคราะห์แนวความคิดทางการจัดการได้
2. วิธีการศึกษาจากพฤติกรรมของมนุษย์ (The Interpersonal Behavior Approach) การศึกษาจากพฤติกรรมของมนุษย์เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง เพราะในการศึกษาทางด้านการจัดการเป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์การ สภาวะการณ์การเป็นผู้นำ
3. วิธีการศึกษาการตัดสินใน (Decisional Approach) เป็นวิธีการศึกษาทางการจัดการที่นำเอาข้อมูลหรือการวิเคราะห์เชิงปริมาณเข้ามาใช้ประกอบการตัดสินใจ
4. วิธีการศึกษาโดยวิธีการเชิงระบบ (System Approach) คำว่า ระบบ หมายถึงส่วนต่าง ๆ จำนวนหนึ่งที่มีผลกระทบต่อกันและมีส่วนเชื่อมโยงกันเพื่อที่จะทำให้งานขององค์การบรรลุเป้าหมายที่องค์การต้องการได้
5. วิธีการศึกษาแบบวิธีการปรับตัว (Adaptive of Ecological Approch) เป็นระบบเปิดจะต้องวิเคราะห์โดยการศึกษาสภาวะแวดล้อมภายในองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การควบคู่กันไปด้วย

อ้างอิง : ฟาร์อีสเทอร์น. ( 2547) วิวัฒนาการของแนวคิดทางการจัดการ.

นางสาวทุเรียน ยศเหลา รหัส 5130125401220



กระทรวงพาณิชย์ www.moc.go.th/

สามารถเข้าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับกระทรวง

-ประวัติกระทรวง

-โครงสร้างขององค์กร/วิสัยทัศน์/พันธกิจ

-หน้าที่ของกระทรวง

-ผลงานกระทรวง/รายงานแผนการปฎิบัติราชการ

-แผนแม่บทกระทรวงพาณิชย์/กฎบัตรการตรวจสอบภายใน

บริการกระทรวงพาณิชย์

-แนะนำบริการกระทรวงพาณิชย์/บริการทางอิเล็กทรอนิกส์(E-SERVICER)

-ศูนย์บริการส่งออกเบ็ดเสร็จ

-ความรู้เบื้องต้นในการประกอบธุรกิจส่งออก

กิจกรรม

-งานแสดงสินค้าไทยในต่างประเทศ

-งานแสดงสินค้าในประเทศ

ข่าวสาร

-ข่าวประชาสัมพันธ์

-ประกาศ/จัดซื้อจัดจ้าง

-ข้อมูลเศรษฐกิจการค้า

-แถลงข่าวประจำเดือน

กฎหมายกระทรวงพาณิชย์

-ระบบค้นหาข้อมูลกฎหมายกระทรวงพาณิชย์

-กลุ่มกฎหมายในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์

-กฎหมาย/กฎระเบียบ/มาตรการทางการค้า

กันตินันท์ บุญลิลา 235



แนวความคิดเชิงสถานการณ์

ความสำคัญของสภาวะแวดล้อมในฐานะที่เป็นปัจจัยนำเข้าที่ ผู้บริหารจะต้องพิจารณาในกาแก้ปัญหาของความซับซ้อน ซึ่งตัวแปรเกี่ยวกับปัจจัยของสภาวะแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อองค์การ ในปัจจุบันทำให้เกิดแนวความคิดเชิงสถานการณ์ขึ้นมา โดยแนวความคิดเชิงสถานการณ์นั้นจะยึดปรัชญาของแนวความคิดเชิงระบบมาเป็นพื้นฐาน แต่มีความก้าวหน้ากว่าแนวความคิดเชิงระบบอีกขั้นหนึ่ง คือ แนวความคิดเชิงสถานการณ์พยายามที่จะทำให้เกิดความสอดคล้องเข้ากันได้ระหว่างสภาวะแวดล้อมกับโครงสร้างขององค์การ นักทฤษฎีตามแนวความคิดเชิงสถานการณ์ กล่าวว่า

โครงสร้างขององค์การที่ดีที่สุดนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมขององค์การ กล่าวคือ จะไม่มีโครงสร้างองค์การใดจะสามารถนำมาใช้ได้กับองค์การในทุกสถานการณ์ ตามแนวความคิดนี้เห็นว่า ในบางกรณีโครงสร้างองค์การในลักษณะที่เป็นระบบเปิด หรือโครงสร้างองค์การที่ไม่เป็นพิธีการ ซึ่งโครงสร้างในลักษณะนี้จะมีความยืดหยุ่นก็อาจใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ได้ แต่ในบางกรณีโครงสร้างองค์การที่เป็นระบบปิดหรือโครงสร้างองค์การที่เป็นพิธีการและไม่ยืดหยุ่นก็สามารถก็นำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน นอกจากนี้ในองค์การหนึ่งองค์การใดอาจจะกำหนดโครงการสร้างองค์การแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใด และกำหนด โครงสร้างอีกแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานอื่นๆ ในองค์การเดียวกันนั้นก็ได้ เช่น อาจกำหนดโครงสร้างองค์การแบบเป็นพิธีการมาใช้กับหน่วยการผลิต และองค์การโครงสร้างแบบไม่เป็นพิธีการมาใช้กับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความมีประสิทธิผลขององค์การตามแนวความคิดของนักทฤษฎีเชิงสถานการณ์นั้น จะขึ้นอยู่กับความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การนั่นเอง



สำหรับแนวความคิดเชิงสถานการณ์ ที่สำคัญมีดังนี้

3.1 ผลงานของโจแอน วูดวาร์ด (Joan Woodward)

จากผลงานการวิจัยของวูดวาร์ด สามารถสรุปได้ว่าการออกแบบโครงสร้างองค์การจะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาวะแวดล้อมที่เข้ามากระทบ เช่น จากเทคโนโลยีที่แต่ละองค์การหรือองค์การผู้ผลิตแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ใช้ เช่น ในสภาวะแวดล้อมที่เทคโนโลยีที่เป็นการผลิตตามกระบวนการที่มีวิธีการทำงานยุ่งยากซับซ้อนนั้นจะมีสายการบังคับบัญชาหลายระดับ ในขณะที่

สภาวะแวดล้อมเทคโนโลยีที่เป็นการผลิตตามคำสั่งนั้น สายการบังคับบัญชาจะสั้นกว่า ดังนั้น

โครงสร้างขององค์การในสภาวะแวดล้อมเทคโนโลยีแบบการผลิตตามกระบวนการ จึงมีลักษณะ

ที่เป็นโครงสร้างแบบสูง ส่วนโครงสร้างองค์การในสภาวะแวดล้อมที่องค์การต้องใช้เทคโนโลยี

ในการผลิตตามคำสั่งของลูกค้านั้น ควรจะมีลักษณะเป็นโครงสร้างแบบแบนราบ

3.2 ผลงานของลอร์เร็นซ์และลอร์ช (Lawrence, P.R., & Lorsch, J.W.)

จากผลการวิจัยของลอร์เร็นซ์และลอร์ช เป็นผลการวิจัยที่สนับสนุนแนวความคิดเชิงสถานการณ์ จากผลการวิจัยบริษัท 10 แห่งจากอุตสาหกรรมแตกต่างกัน ได้แก่ อุตสาหกรรม พลาสติก อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมภาชนะบรรจุ เป็นต้น โดยบริษัทที่เลือกมาศึกษานั้น

จะมีสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน และทำการวิเคราะห์โครงสร้างภายในของบริษัทในส่วนของความแตกต่างด้านโครงสร้างและบุคลากรที่อยู่ในแต่ละบริษัท รวมทั้งแนวทางที่บริษัทใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความแตกต่างเหล่านี้

จากแนวความคิดเชิงสถานการณ์ต่อการจัดการ พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้าง

ขององค์การกับการประสานงานของบุคลากรจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งจากทฤษฎีการจัดการแนวใหม่ที่ยึดแนวความคิดเชิงระบบกับแนวความคิดเชิงสถานการณ์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการได้นั้นจะต้องมีการวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ในเชิงระบบว่าปัจจัยต่างๆ นั้นมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และจะต้องตระหนักถึงความสอดคล้องระหว่างองค์การกับสภาวะแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นด้านของการออกแบบโครงสร้างองค์การหรือวิธีการในการจัดการต่างๆ กล่าวคือ จะไม่มีวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการแต่การจัดการนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมขององค์การเสมอ ในการพัฒนาแนวความคิดทางการจัดการที่เกิดขึ้นนั้น จะมีลักษณะเป็นวิวัฒนาการตั้งแต่แนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จากนั้นจึงเป็นแนวความคิดเชิงกระบวนการ แนวความคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์ แนวความคิดเชิงระบบ และแนวความคิดเชิงสถานการณ์ จากการที่เกิดการพัฒนาแนวความคิดต่างๆที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ไม่มีแนวความคิดใดจะเป็นที่ยอมรับที่จะเป็นแนวความคิดที่มีประสิทธิผลมากที่สุดดังนั้นการนำแนวคิดทางการจัดการใดมาใช้กับองค์การ ผู้บริหารควรจะต้องพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อมขององค์การที่เป็นสถานการณ์องค์การเผชิญอยู่มาพิจารณาด้วย



อ้างอิง : จากหนังสือ วิชาองค์การและการจัดการ ของ ผศ.ดร.วรพจน์ บุษราคัมวดี

นางสาวสายพิณ สิงห์ใจ รหัส 5130125401248

โรงเรียนจัดดอกไม้สดสากล GREAT-HANA
โรงเรียนสอนจัดดอกไม้สดสากล (Universal Flower Arrangement School)
ก่อตั้งขึ้นในปี 2544 โดย นางกมลวรรณ จารุกุลวนิช ในฐานะกรรมการผู้จัดการ เกรท ฮานะ ได้ริเริ่มจัดตั้ง โรงเรียนสอนจัดดอกไม้สดสากลขึ้น ด้วยประสบการณ์ตรง ในการจัดดอกไม้ และประสบการณ์ในการสอน ส่งผลให้โรงเรียนได้รับการตอบรับ จากผู้ที่สนใจด้วยดีเสมอมาจนถึงปัจจุบัน

อนึ่ง หลักสูตรของโรงเรียนทุกระดับนั้น อยู่ภายใต้การควบคุม และได้รับการรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ในคุณภาพของหลักสูตร โดยมีวัตถุประสงค์ ในการจัดตั้งโรงเรียนดังต่อไปนี้ ...
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในวิชาการจัดดอกไม้สดสากลอย่างถูกต้อง
เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความชำนาญในการจัดดอกไม้สดแบบสากล
เพื่อให้ผู้เรียนมีเจตคติ และคุณธรรมในวิชาชีพการจัดดอกไม้
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนสามารถ นำไปประกอบอาชีพในสายงานการจัดดอกไม้ได้
เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้กับผู้ที่สนใจเรียน ได้พัฒนาฝีมือ และความชำนาญอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ ในการจัดดอกไม้สดแบบสากลของไทยให้ก้าวไกลสู่ความเป็นสากล
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพื่อการสร้างสรรค์งานศิลปะเฉพาะตัว
เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะการจัดดอกไม้ ให้คงอยู่ในสังคมสืบไป

โรงเรียนสอนจัดดอกไม้สดสากล (UFAS) พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจเรียน ในทุกหลักสูตร โดยผู้ที่สนใจ สามารถสมัครเรียนได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังสามารถเลือกวันและเวลาเรียนได้อีกด้วย

คุณสมบัติของผู้เรียน
1. อายุ 8 ปี ขึ้นไป
2. ไม่จำกัดเพศ
3. พื้นฐานความรู้ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 หรือ เทียบเท่า
4. มีความสนใจและรักในงานการจัดดอกไม้
5. มีความกระตือรือร้น และรักในการใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ
หลักฐานประกอบการสมัครเรียน
1. รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 2 รูป
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. สำเนาทะเบียนบ้าน
4. เสาเนาเอกสารรับรองการศึกษา
หมายเหตุ
ศึกษาจบ 24 บทเรียน ในหลักสูตรพื้นฐาน ทางโรงเรียนฯจะมอบประกาศนียบัตรรับรองความสามารถ ระดับที่ 1
ศึกษาจบ 24 บทเรียน ในหลักสูตรพื้นฐานออกแบบ ทางโรงเรียนฯจะมอบประกาศนียบัตรรับรองความสามารถ ระดับที่ 2
โรงเรียนจัดดอกไม้สดสากล GREAT-HANA ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงศึกษาธิการ อย่างถูกต้องมีแค่2สาขาเท่านั้น คือที่ สาขาที่1 เลขที่ 99 / 27 ซอยหมู่บ้านรังสิยา ถนนศรีนครินทร์และสาขาที่ 2 เลขที่888/8 ชอยแบริ่ง64/1 ถนนสุขุมวิท107 เท่านั้น ปิดสอนสัปดาห์ละ 6 วัน คือ วันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ หยุด วันจันทร์
นักเรียนและภาพบรรยากาศในห้องเรียน
ผู้ที่สนใจเรียนสามารถติดต่อสมัครเรียนได้โดยตรงที่
หมายเลขโทรศัพท์
02-175-6100-2 ต่อ 102 แฟกซ์ 02-175-6132begin_of_the_skype_highlighting 02-175-6132 end_of_the_skype_highlighting
ทางไปรษณีย์
เลขที่99 / 27 ซอยหมู่บ้านรังสิยา ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250

หรือ สามารถเข้ามาสมัครได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังสามารถสมัครเข้าเรียนผ่าน website ของโรงเรียนฯ ได้อีกด้วย

น.ส. สุนิสา ปิ่นชูทอง รหัส 5130125401212



http://www.thailabonline.com/excercise.htm



เป็นเว็บไซด์ที่ให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ มีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกาย มีท่าบริหารสำหรับอบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกาย การออกกำลังกายของผู้สูงอายุ และการออกกำลังกายแบบเล่นโยคะ รวมทั้งมีคำแนะนำอื่น ๆ ที่ทำให้เราได้รับประโยชน์มากมายจนต้องหันมาดูแลสุขภาพร่างกายของเรา มีหัวข้อที่สำคัญ ได้แก่



§ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร

§ อุปสรรคที่ทำให้คุณไม่ออกกำลังกาย

§ คำแนะนำเบื้องต้นในการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มฝึกวิ่งออกกำลังกายโดยการวิ่งอยู่กับที่

§ ทำไมการออกกำลังกายต้องเป็นวิ่ง

§ 10 ท่าพื้นฐาน ยืดเหยียดร่างกายก่อนออกกำลัง

§ การออกกำลังกายในผู้สูงอายุ

§ การออกกำลังกายโดยวิธีโยคะแบบขั้นพื้นฐานในการช่วยดูแลสุขภาพ Yoka Basic Training

§ การเล่นเวท

§ การนวดแบบกดจุด Acupressure

น.ส ปวราพร หาญบุญศรี รหัส 5130125401227



http://www.linkgfx.com/hospital.html

เป็นเวปไซด์ ที่แสดงเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาล ทั่วประเทศไทย ซึ่งมีประโยชน์มากๆเลยทีเดียว เมื่อเข้ามาในเวปไซด์แล้ว ยังสามารถเข้าไปดูประวัติและรายละเอียดต่างๆของแต่ละโรงพยาบาลได้เลย อย่างของโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยเช่น เมื่อคลิกเข้าไปที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทย เราก็จะเจอรายละเอียดต่างๆมากมายเช่น

เวลาทำการ
ตรวจรักษาโรคทั่วไป บริการทุกวัน เวลา 7.00 - 20.00 น.
ตรวจรักษาทางด้านอายุรกรรมสมอง วันจันทร์, พุธ และศุกร์ เวลา 8.00-12.00 น.
ตรวจรักษาโรคทางอายุรกรรมทั่วไป วัน จันทร์ - ศุกร์ เวลา 9.00-16.00 น.

สถานที่ติดต่อ
ติดต่อสอบถาม หรือนัดเวลาตรวจได้ที่ 02 769 2000 ต่อ 1101, 1100
คนไข้เงินสด และประกันสังคม ติดต่อแผนกเวชระเบียน ชั้น 1 อาคารมิ่งประชา
คนไข้ประกันบัตรทอง ติดต่อหน่วยบริการปฐมภูมิ ชั้น 1 อาคาร 72 พรรษา

หรือ

บริการลงทะเบียนล่วงหน้า

เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการมารับบริการ ลูกค้าสามารถโทรศัพท์เข้ามาที่โรงพยาบาล เพื่อขอทำประวัติล่วงหน้าได้ก่อนที่จะเข้ามารับบริการที่โรงพยาบาล เพื่อที่ทางเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมเอกสารประวัติของคนไข้ไว้ให้พร้อมก่อนที่คนไข้จะมาถึงโรงพยาบาล โดยติดต่อมาที่ 02 769 2000 ต่อ 1181 และ 1182 ก่อนเข้ามารับบริการอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

ซึ่งมีประโยชน์มากๆเลยค่ะ ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอเป็นชั่วโมงๆ และอีกอย่างที่สำคัญมากๆก็คือ ทราบได้เลยว่าที่โรงพยาบาลไหนเชียวชาญในโรคอะไร หรือ หากเรามีเพื่อนหรือญาติพี่น้องอยู่ในจังหวัดไหนๆก็สามารถแนะนำให้เข้ามาใช้เวปไซด์นี้ได้ ค่ะ

นางสาวศิริรัตน์ ช้างเย็นฉ่ำ รหัส 5210125401049 เอกการจัดการทั่วไป ปี 4

Address Website ผิดคะ จาก www.thaicert.nectec.or.th เป็น www.nectec.or.th ความเป็นมาของเว็บไซต์ เป็นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center : NECTEC หรือเนคเทค) ก่อตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2529 โดยในระยะเริ่มต้นมีสถานะเป็นโครงการภายใต้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน (ชื่อในขณะนั้น)
ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เนคเทคได้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นศูนย์แห่งชาติเฉพาะทาง และเปลี่ยนการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม ตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 พ.ร.บ. ฉบับนี้ก่อให้เกิดการรวมตัวกันขององค์กรต่างๆ 4 องค์กรที่มีอยู่ขณะนั้น ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Development Board: STDB หรือ กพวท.) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ขึ้นเป็นสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Development Agency: NSTDA หรือ สวทช.) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ในขณะนั้น)
สวทช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ มีระบบการบริหารและนโยบายที่กำหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิในภาครัฐบาลและภาคเอกชนฝ่ายละเท่าๆ กัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นกรรมการและเลขานุการ
เนคเทคมีคณะกรรมการบริหารศูนย์ ซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับ กวทช. คือ มีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการเสนอแนะแนวนโยบาย วางแนวทางการบริหารงานของศูนย์ ที่สอดคล้องกับนโยบายและหลักเกณฑ์ที่ กวทช.กำหนด โดยมีผู้อำนวยการเนคเทคเป็นกรรมการและเลขานุการ
ภารกิจหลักของศูนย์ฯ ได้แก่

ดำเนินการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมจากระดับห้องปฏิบัติการถึงขั้นโรงงานต้นแบบ ทั้งในด้านการสร้างขีดความสามารถและศักยภาพในสาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
วิเคราะห์ สนับสนุน และติดตามประเมินผลโครงการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมของภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างความสามารถและศักยภาพในสาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
ร่วมให้บริการวิเคราะห์และทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบมาตรฐานและความถูกต้องของอุปกรณ์ การให้บริการข้อมูล และการให้คำปรึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ร่วมจัดการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร รวมทั้งให้คำปรึกษาทางวิชาการ
ส่งเสริมและจัดให้มีความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและนักวิชาการในสถาบันและหน่วยงานต่างๆทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
สนับสนุน ประสานงาน และดำเนินการด้านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อกระตุ้นการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ขอขอบคุณ: www.nectec.or.th

*นายภาสัณห์ ใจดี รหัส 5210125401024 เอกการจัดการทั่วไป


www.bmta.co.th เป็นเว็บไซต์ของขสมก. ดูข้อมูลสายรถประจำทาง เส้นทางเดินรถ เวลาเดินรถ

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ชื่อย่อ: ขสมก อังกฤษ: Bangkok Mass Transit Authority - BMTA) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดย พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พุทธศักราช 2519 (ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม) มีหน้าที่จัดบริการรถโดยสารประจำทาง เพื่อรับส่งประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร รวม 108 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 3,509 คัน (กันยายน พ.ศ. 2554) แบ่งเป็นรถธรรมดา 1,659 คัน รถปรับอากาศ 1,850 คัน และมีรถของบริษัทเอกชน ที่ร่วมวิ่งบริการ ทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศ จำนวน 4,016 คัน, รถมินิบัส จำนวน 844 คัน, รถเมล์เล็กในซอย จำนวน 2,312 คัน, รถตู้โดยสารปรับอากาศ จำนวน 5,315 คัน และรถตู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ จำนวน 213 คัน รวมทั้งสิ้น 16,209 คัน 445 เส้นทาง
ขสมก. เป็นรัฐวิสาหกิจของไทยที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนมากเป็นลำดับที่ 2 รองจากการรถไฟแห่งประเทศไทย คือมีผลขาดทุน 4,990 ล้านบาท
การบริการ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 (ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2519) มีภาระหน้าที่ในการจัดบริการรถโดยสารประจำทางวิ่งรับส่งประชาชนในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ จัดรถวิ่งบริการในเส้นทางต่าง ๆ รวม 108 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 3,509 คัน (ณ เดือน กันยายน 2554) แยกเป็นรถธรรมดา 1,659 คัน รถปรับอากาศ 1,850 คัน และมีรถของบริษัทเอกชนที่ร่วมวิ่งบริการกับ ขสมก.ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศจำนวน 4,016 คัน, รถมินิบัส จำนวน 844 คัน, รถเมล์เล็กในซอย จำนวน 2,312 คัน รถตู้โดยสารปรับอากาศ จำนวน 5,315 คัน และรถตู้ CNG 213 คัน รวมรถที่วิ่งให้บริการประชาชนในกรุงเทพมหานครมี จำนวน 16,209 คัน 445 เส้นทาง

อ้างอิง
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ .(ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.bmta.co.th/th/index.php

น.ส.ศิรินทรา เรืองรอง สาขาการจัดการทั่วไป 5210125401026

ทฤษฎี ERG
ทฤษฎี ERG (Alderfer’s ERG Theory) พัฒนาโดย Clayton Alderfer โดยมีพื้นฐานความคิดที่ใกล้ชิดกับทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow แต่ Alderfer ได้พัฒนาแนวความคิดให้มีจุดเด่นที่แตกต่างไปจากทฤษฎีของ Maslow โดย Alderfer จำแนกความต้องการของมนุษย์ ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ความต้องการอยู่รอด (Existence) หรือ E
ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเกี่ยวข้องกับความต้องการทางด้านร่างกาย
และมีความปรารถนาอยากมีสิ่งของครื่องใช้ต่างๆ เพื่อดำรงชีพอยู่ในสังคม
ความต้องการมีความสัมพันธ์ทางสังคม (Relatedness) หรือ R
เป็นความต้องการที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างๆ ที่มีอยู่ระหว่างงานและบุคคลอื่นในสังคม เช่น การยอมรับ มิตรภาพ ความรัก เป็นต้น เพื่อที่จะอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ความต้องการการเจริญเติบโต (Growth) หรือ G
เป็นความต้องการที่เกี่ยวกับการพัฒนา การเติบโต และความก้าวหน้าของบุคคล โดยบุคคลจะต้องการความก้าวหน้าและการยอมรับนับถือตลอดจนความสำเร็จในชีวิต
ทฤษฎี ERG จะมีความแตกต่างจากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow คือ ความต้องการของบุคคลจะมีการเคลื่อนตัวถอยกลับ หากความต้องการที่เขาปรารถนาได้รับการตอบสนองน้อย หรือไม่ได้รับความพอใจ ทำให้ความต้องการประเภทที่ผ่านมาแล้วกลับมีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้ทฤษฎีของ Maslow ยังจำกัดว่าบุคคลมีความต้องการอยู่เพียงลำดับขั้นเดียว แต่ตามทฤษฎี ERG บุคคลสามารถมีความต้องการที่จะได้รับการตอบสนองมากกว่าหนึ่งขั้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ทฤษฎี ERG มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมต่อการนำมาประยุกต์มากกว่าทฤษฎีของ Maslow
อ้างอิง : มัลลิกา ต้นสอน. การจัดการยุคใหม่. กรุงเทพฯ. บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด. 2545

นางสาวศิรินทรา เรืองรอง การจัดการทั่วไป 5210125401026

ความหมายของ SWOT Analysis
SWOT Analysis เป็นการวิเคราะห์สภาพองค์การ หรือหน่วยงานในปัจจุบัน เพื่อค้นหาจุดแข็ง จุดเด่น จุดด้อย หรือสิ่งที่อาจเป็นปัญหาสำคัญในการดำเนินงานสู่สภาพที่ต้องการในอนาคต

SWOT เป็นตัวย่อที่มีความหมายดังนี้
Strengths - จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบ
Weaknesses - จุดอ่อนหรือข้อเสียเปรียบ
Opportunities - โอกาสที่จะดำเนินการได้
Threats - อุปสรรค ข้อจำกัด หรือปัจจัยที่คุกคามการดำเนินงานขององค์การ

หลักการสำคัญของ SWOT ก็คือการวิเคราะห์โดยการสำรวจจากสภาพการณ์ 2 ด้าน คือ สภาพการณ์ภายในและสภาพการณ์ภายนอก ดังนั้นการวิเคราะห์ SWOT จึงเรียกได้ว่าเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ (situation analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อให้รู้ตนเอง (รู้เรา) รู้จักสภาพแวดล้อม (รู้เขา) ชัดเจน และวิเคราะห์โอกาส-อุปสรรค การวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารขององค์กรทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกองค์กร ทั้งสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมทั้งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่มีต่อองค์กรธุรกิจ และจุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถด้านต่าง ๆ ที่องค์กรมีอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยุทธ์และการดำเนินตามกลยุทธ์ขององค์กรระดับองค์กรที่เหมาะสมต่อไป

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ SWOT
วิเคราะห์ SWOT เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้แต่ละอย่างจะช่วยให้เข้าใจได้ว่ามีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างไร จุดแข็งขององค์กรจะเป็นความสามารถภายในที่ถูกใช้ประโยชน์เพื่อการบรรลุเป้าหมายในขณะที่จุดอ่อนขององค์กรจะเป็นคุณลักษณะภายใน ที่อาจจะทำลายผลการดำเนินงาน โอกาสทางสภาพแวดล้อมจะเป็นสถานการณ์ที่ให้โอกาสเพื่อการบรรลุเป้าหมายองค์กรในทางกลับกันอุปสรรคทางสภาพแวดล้อมจะเป็นสถานการณ์ที่ขัดขวางการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ผลจากการวิเคราะห์ SWOT นี้จะใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้องค์กรเกิดการพัฒนาไปในทางที่เหมาะสม

ขั้นตอน / วิธีการดำเนินการทำ SWOT Analysis
การวิเคราะห์ SWOT จะครอบคลุมขอบเขตของปัจจัยที่กว้างด้วยการระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคขององค์กร ทำให้มีข้อมูล ในการกำหนดทิศทางหรือเป้าหมายที่จะถูกสร้างขึ้นมาบนจุดแข็งขององค์กร และแสวงหาประโยชน์จากโอกาสทางสภาพแวดล้อม และสามารถ กำหนดกลยุทธ์ที่มุ่งเอาชนะอุปสรรคทางสภาพแวดล้อมหรือลดจุดอ่อนขององค์กรให้มีน้อยที่สุดได้ ภายใต้การวิเคราะห์ SWOT นั้น จะต้องวิเคราะห์ทั้งสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก องค์กร โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. การประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร
- จุดแข็งขององค์กร (S-Strengths) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ที่อยู่ภายในองค์กรนั้นเองว่า ปัจจัยใดภายในองค์กรที่เป็นข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นขององค์กรที่องค์กรควรนำมาใช้ในการพัฒนาองค์กรได้ และควรดำรงไว้เพื่อการ เสริมสร้างความเข็มแข็งขององค์กร
- จุดอ่อนขององค์กร (W-Weanesses) เป็นการวิเคราะห์ ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ที่อยู่ภายในจากมุมมอง ของผู้ที่อยู่ภายในองค์กรนั้น ๆ เองว่าปัจจัยภายในองค์กรที่เป็นจุดด้อย ข้อเสียเปรียบขององค์กรที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือขจัดให้หมดไป อันจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
2. การประเมินสภาพแวดล้อมภายนอก
- โอกาสทางสภาพแวดล้อม (O-Opportunities) เป็นการวิเคราะห์ว่าปัจจัยภายนอกองค์กร ปัจจัยใดที่สามารถส่งผลกระทบประโยชน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการดำเนินการขององค์กรในระดับมหาภาค และองค์กรสามารถฉกฉวยข้อดีเหล่านี้มาเสริมสร้างให้ หน่วยงานเข็มแข็งขึ้นได้
- อุปสรรคทางสภาพแวดล้อม (T-Threats) เป็นการวิเคราะห์ว่าปัจจัยภายนอกองค์กรปัจจัยใดที่สามารถส่งผลกระทบในระดับมหภาคในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งองค์กรจำต้องหลีกเลี่ยง หรือปรับสภาพองค์กรให้มี ความแข็งแกร่งพร้อมที่จะเผชิญแรงกระทบดังกล่าวได้
http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=483.0

นางสาวกอบทอง หนูสันทัด



ร้าน http://www.thaionlinefashion.com/ เป็นร้านค้า ออนไลน์ที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หลายแบรนด์ เช่น Coach Nine West Guess Fossil LONGCHAMP Boss BALENCIAGA KIPLING ซึ่งเป็นการ Pre-Order หมายถึง การสั่งจองทางหน้า เวปไซด์ เมื่อลูกค้าสนใจในสินค้าก็ทำการสั่งจอง และชำระเงิน และรอสินค้า ประมาณ 15-20 วัน ซึ่งร้าน.thaionlinefashion ได้เปิดเวปมาตั้งแต่วันที่ 01/08/2009 แก้ไขล่าสุด 09/07/2012 มีผู้เข้าชมทั้งหมด 11,284,677

เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งมีลูกค้าให้ความไว้วางใจมาก

นี่เป็นตัวอย่างที่ลูกค้าสั่งจองค่ะ



หัวข้อกระทู้ :

แจ้งการโอนเงิน


รายละเอียด :

โอนเงินค่ากระเป๋า nine west สีทอง รหัสสินค้า 00216จำนวนเงิน 1750 บาท
แล้วนะคะ รวมค่าส่ง EMS ด้วย โอนวันที่10/05/2012 เวลา 20:00นเข้าบัญชี
ธนาคารไทยพาณิชย์ค่ะ รบกวนช่วยเชคและติดต่อกลับด้วยนะคะ ขอบคุนค่ะ


ผู้ตั้งกระทู้ :

ณัฏฐิกานต์ <bloodsom_nut@hotmail.com> [10/05/2012 20:19:50]









[ ความเห็นที่ 1 ]




ความคิดเห็น :

Got it & your package has been sent out. Tracking no shown on webboard as usual ka




ผู้ตอบกระทู้ :

sassyoil<sassyoil@windowslive.com> [13/05/2012 11:35:37]


หัวข้อกระทู้ :

แจ้งโอนเงิน




รายละเอียด :

โอนเงินแล้วคะ ที่ธนาคารไทยพานิชย์ :100-2158-130 ชื่อบัญชี สอางอร
สินค้ารหัส:00306
style no.coach15112 color.white black/black
ราคา:5900 บาท
โอนเมื่อ 8/05/55 17.15น.

ชื่อ/ที่อยู่......คุณวิเวียน ศิริประทุม
บริษัท โน้ตพับลิชชิ่ง จำกัด(ทีวี พูล)
303 ลาดพร้าว101 แขวง วังทองหลาง
เขต วังทองหลาง กทม.10310




ผู้ตั้งกระทู้ :

วิเวียน <Vivaen_v@hotmail.com> [09/05/2012 00:30:06]










[ ความเห็นที่ 1 ]


ความคิดเห็น :

My brother will mail out to you shortly. Thanks for
your support ka


ผู้ตอบกระทู้ :

sassyoil<sassyoil@windowslive.com> [09/05/2012 02:19:31]





[ ความเห็นที่ 2 ]


ความคิดเห็น :

เลขที่ EMS : EJ039183698TH


ผู้ตอบกระทู้ :

sassyoil<sassyoil@windowslive.com> [11/05/2012 12:25:05]

thunyalak khampang thunyalak.k@gmail.com



เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา (Thai Meteorological Department) WWW.tmd.go.th



จากเว็บไวต์ สามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกรมอุตุนิยมวิทยา มีหัวข้อเว็บไซต์ต่าง ๆ ไว้ให้สืบค้นข้อมูลเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับองค์กร ข้อมูลด้านวิชาการเกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยา ประวัติความเป็นมา ข่าวสารและกิจกรรม การพยากรณ์สภาพอากาศในแต่ละวันของประเทศไทย ซึ่งสามารถดูได้ทั่วภูมิภาคและทั่วโลก การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเพื่อให้เกิดการวางแผน และการเฝ้าระวังป้องกันภัยที่อาจจะเกิดจากสภาพอากาศ การตรวจเช็คสภาพอากาศเพื่อวางแผนการเดินทาง การขนส่ง หรือการเดินเรือ การรายงานการตรวจเช็คสภาพอากาศ ซึ่งสามารถเรียกดูข้อมูลสภาพอากาศซึ่งประกอบด้วย การดรวจวัดอุณหภูมิ ความกดอากาศ ความชื้น ความเร็วลม ความสูงของคลื่น ปริมาณเมฆ และปริมาณน้ำฝน ที่เป็นปัจจุบันและข้อมูลย้อนหลังที่มีการบันทึกไว้จากเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆเช่น เรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่อากาศ สถานีวัดปริมาณน้ำฝน การเตือนภัยเกี่ยวกับอากาศ เส้นทางเดินพายุ รายงานแผ่นดินไหว นอกจากนี้ยังมีลิงก์เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ผู้สืบค้นได้ทราบข้อมูลข่าวสาร การค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างข้อมูลที่ได้จากการคลิกหัวข้อ เกี่ยวกับเรา ในเว็บไซต์ WWW.tmd.go.th

ประวัติกรมอุตุนิยมวิทยา



นายพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
ผู้ให้กำเนิดอุตุนิยมวิทยาไทย พ.ศ.2449

เริ่มดำเนินงาน
ในกรมทดน้ำ กระทรวงเกษตราธิการ เมื่อ พ.ศ. 2466 และต่อมาปลายปีได้จัดตั้งเป็นแผนกอุตุนิยมศาสตร์และสถิติ กองรักษาน้ำ กรมทดน้ำ (ปัจจุบันคือกรมชลประทาน)
การโอนกิจการ


6 สิงหาคม 2479

:

เป็นกองอุตุนิยมวิทยา สังกัดกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ


23 มิถุนายน 2485

:

ยกฐานะเป็นกรมอุตุนิยมวิทยา โดยมีสถานที่ ทำงาน อยู่ที่ 612 ถนนสุขุมวิท ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง จังหวัดกรุงเทพมหานคร


29 สิงหาคม 2505

:

โอนมาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี


1 ตุลาคม 2515

:

โอนมาสังกัดกระทรวงคมนาคม


3 ตุลาคม 2545

:

โอนมาสังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


ย้ายสถานที่ทำงาน
ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 และ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2532 อนุมัติให้ กรมอุตุนิยมวิทยาย้ายสถานที่ทำงานอุปกรณ์ทางเทคนิค และบ้านพักจากสถานที่เดิม มายังสถานที่ปัจจุบัน โดยอนุมัติงบประมาณจำนวน 346 ล้านบาท ให้เป็นค่าก่อสร้าง อาคารที่ทำการใหม่สูง 16 ชั้น รวมทั้งบ้านพักข้าราชการ โดยมีสถานที่ตั้งอยู่ที่ 4353 ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร


วิสัยทัศน์


“มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านอุตุนิยมวิทยาในระดับสากล”


พันธกิจ


1. พยากรณ์อากาศครอบคลุมทั้งประเทศ และออกคำเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง แม่นยำ ทันเหตุการณ์ เพื่อตอบสนองต่อการบริหารจัดการในการลดการสูญเสียจากภัยธรรมชาติ
2. สร้างความตระหนักของประชาชนถึงภัยธรรมชาติ และสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ในการรักษาชีวิต และลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการบริการสารสนเทศที่ทันสมัย
3. เป็นศูนย์ข้อมูลสารสนเทศและบริการด้านอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ สำหรับผู้ใช้ในกิจการต่าง ๆ
4. ปรับปรุงและพัฒนางานวิจัยของกรมอุตุนิยมวิทยา
5. เพิ่มบทบาทความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านอุตุนิยมวิทยาและสิ่งแวดล้อม เพื่อความเข้าใจ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป

................................................




ประโยชน์ของการพยากรณ์อากาศ
1. ใช้วางแผนพัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม การค้าขายสินค้าทั้งภายในและต่างประเทศ
2. ใช้วางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น เพื่อการเกษตร เพื่อการอุตสาหกรรม
3. ใช้วางแผนเพิ่มผลผลิตและลดความสูญเสียของผลผลิตทางการเกษตร
4. ใช้วางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการชลประทาน
5. ใช้วางแผนการท่องเที่ยว การพักผ่อน และสาธารณสุข
6. ใช้วางแผนการพัฒนาการป้องกันและลดความสูญเสียจากภัยพิบัติ เช่น อุทกภัย วาตภัย ภัยแล้ง ไฟป่า แผ่นดินเลื่อน แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหว คลื่นใต้น้ำ คลื่นพายุซัดฝั่ง โรคระบาด อุบัติเหตุทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
7. ใช้วางแผนพัฒนาการขนส่ง และความปลอดภัยในการขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ

อ้างอิง : WWW.tmd.go.th

WWW.tmd2.go.th

นางสาว ปลิดา หนูศิริ รุ่น26 หมู่2 เอกการจัดการทั่วไป 5330125401394 เรียนร่วม



แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำ. http://www.idis.ru.ac.th


มโนทัศน์ของผู้นำ ภาวะผู้นำ (leadership) เป็นปรากฏการณ์สากลของมนุษยชาติเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับสังคมมนุษย์ ทุกสังคมไม่ว่าสังคมที่เจริญแล้วหรือสังคมที่ล้าหลังกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กต่างมีผู้นำทั้งสิน ในยุคก่อนนั้นมีคำที่แสดงภาวะผู้นำ เช่น หัวหน้า ประมุข ราชา พระยา เป็นต้น ส่วนคำว่าผู้นำ (leader) เป็นคำที่เกิดในยุคหลัง มีในภาษาอังกฤษประมาณ ค.ศ.1300 แต่คำว่า ‘‘leaderhip’’ (ภาวะผู้นำ) เพิ่งจะปรากฏประมาณปี ค.ศ. 1800 ภาวะผู้นำเป็นวิธีการ (means) ของการสั่งการเพื่อให้กลุ่มได้บรรลุวัตถุประสงค์ ส่วนผู้นำคือ บุคคลที่ใช้วิธีกาหรือกระบวนการ เพื่อให้กลุ่มบรรลุวัตถุประสงค์

(เสริมศกดิ์ วิศาสาภรณ์,2536,หน้า 25-36)
ประพันธ์ ผาสุกยืด (หน้า2541, หน้า 87) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ความสามารถในการนำหรือภาวะผู้นำว่า เป็นคุณสมบัติหรือทักษะส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่สามารถสร้างขึ้นได้ หากได้รับการพัฒนาฝึกฝน ผู้นำที่เราพบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้อาจจะไม่มีความสามารถในการนำที่ดีพอก็ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายทั้งในระดับองค์กรและในระดับประเทศ พูดง่าย ๆ ก็คือ คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำ (leader) นั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเพียบพร้อมซึ่งคุณสมบัติ และการสามารถในการนำ (leadership) เสมอไป แต่ในทางตรงกันข้าม ใครที่มีภาวะผู้นำ(leadership) เขานั้นแหละมีความพร้อม และเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำ (leader)
ดังนั้นถ้าจะกล่าวถึงความหมายทั่วไปของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในกระแสของความเปลี่ยนแปลงคือ ผู้ที่จูงใจคนอื่นให้ทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จโดยการชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการบรรลุเป้าหมายนั้น และผู้นะยังต้องเป็นผู้ชี้ให้เห็นวิธีการที่จะทำงานนั้นให้สำเร็จอีกด้วย ความหมายที่ลึกของผู้นำนั้น มิได้จำกัดอยู่แค่เพียงการกำหนดเป้าหมาย หรือการกำหนดการปฏิบัติ วาเรน เบนนิส ผู้สอนภาวะเรื่องผู้นำที่มหาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอเนีย กล่าวว่าพื้นฐานของภาวะผู้นำ คือ ความสามารถในการเปลี่ยนกรอบความคิดและจิตใจของผู้อื่น ซึ่งก็คือผู้นำพาคนอื่นไปให้ถึงเป้าหมายโดยการช่วยให้เขามองโลกด้วยมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมตามความหมายที่กล่าวโดยเบนนิส ผู้นำมีความหมายครบคุมกว้างขวางมากกว่าการมีตำแหน่งใหญ่โตในองค์เท่านั้น (ทิชี่,5242,หน้า 60)
การที่องค์กรหรือหน่วยงานจะอยู่รอดหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับบุคคล 2 ประเภท คือ ผู้นำที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ซึ่งเรียกว่าผู้นำหรือผู้บริหาร โดยทำหน้าที่เป็นผู้บริหารองค์กรหรือผู้นำองค์กร และอีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ปฏิบัติ โดยทั่วไปเรียกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนผู้บริหารหรือผู้นำเรียกว่า ผู้บังคับบัญชา ผู้บริหารกับผู้อำนาจเป็นคนคนเดียวกันหรือเป็นคนละคนก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่แสดงออก ความแตกต่างของผู้นำ (leader) กับผู้บริหาร (administrator) สามารถแยกแยะได้คือ ผู้นำเป็นผู้มีพลังอำนาจสามารถโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้ทำตามโดยอาศัยคุณงามความดีที่เรียกว่า ‘‘พระคุณ’’ โดยไม่ต้องมาดำรงตำแหน่งเหมือนผู้บริหาร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้ตำแหน่งและมีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็นผู้ ‘‘พระคุณ’’ถ้าผู้ใดมีทั้งพระคุณ และพระเดชแล้ว ผู้นำกับผู้บริหารจึงจะเป็นคนเคนเดียวกัน (คุณวุฒิ คนฉลาด,2540 หน้า 11) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ธร สุนทรายุทธ (ม.ป.ป..,หน้า 97) ที่กล่าวไว้ว่า ผู้บริหารเป็นผู้ที่มีอำนาจตามที่ตนได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไป โดยรับผิดชอบหน่วยงานตามระเบียบแบบแผน มีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนั้นได้บัญญัติไว้ ส่วนผู้นำเป็นบุคคลที่สามารถจูงใจบุคคลในองค์กร ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจโดยเกิดจากการศรัทธา เลื่อมใส ผู้นำเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการที่จะนำวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดผลดี ที่จะทำให้องค์กรดำเนินงานสำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้น ภาวะผู้นำจึงปรากฏใน 2 ลักษณะ คือ ประการแรก ภาวะผู้นำที่เป็นทางการ (formal leadership) จะเกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารเป็นผู้นำ โดยการอำนาจหน้าที่ที่เป็นทางการ บุคคลที่ดำรงตำแหน่งบริหารที่มีโอกาสและความรับผิดชอบที่จะใช้ความเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ในความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารบางคนจะมีความเข้าใจที่ดีต่ออำนาจหน้าที่ และความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารเหล่านี้จะเป็นผู้นำที่ดี ประการที่สองคือ ภาวะผู้นำที่ไม่เป็นทางการ (informal leadership) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่เป็นทางการสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอื่นได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พวกเขาสามารถกลายเป็นผู้นำ โดยความดึงดูดส่วนบุคคลของพวกเขาได้ (สมยศ นาวีการ,2540,หน้า 158)องค์กรที่ประสบความสำเร็จมีลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่แตกต่างไปจากองค์กรที่ไม่ประสบความสำเร็จคือ ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ การขาดแคลนผู้นำที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เกิดขึ้นกับองค์กรธุรกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น องค์กรของรัฐ องค์กรทางการศึกษา วัด มูลนิธิ และองค์กรอื่น ๆ ก็ต้องประสบปัญหาอย่างเดียวกันได้ (สมยศ นาวีการ,2540,หน้า 103) ดังนั้น การศึกษาภาวะผู้นำจึงได้มีการกล่าวถึง และหาคำตอบในอดีตตลอดมาแต่เพิ่งจะมีการวิจัย ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นตรวจสอบภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผล โดยพยายามที่จะอธิบายในเรื่องคุณลักษณะ (traits) ความสามารถ (abilities) พฤติกรรม (behaviors) ที่มีของอำนาจ (source of power) หรือลักษณะของสภาพการณ์ (situation) ที่ทำให้ผู้นำสามารถมีอิทธิพลต่อผู้ตามในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม (Yuki, 1989, p. 72) และได้มีผู้ให้ความหมายคำว่า ‘‘ภาวะผู้นำ’’ แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับผู้ให้ความหมายจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ เช่น
Tennenbaurn (1959, p. 24) ได้แสดงความเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำเป็นการใช้อำนาจอิทธิพล หรือความสามารถในการจูงใจให้คนปฏิบัติตามความคิดเห็น ความต้องการ และคำสั่ง เป็นการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของคนอื่น
Hersey and Blanchard (1982, p. 94) ได้แสดงความเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำเป็นกระบวนการที่ใช้อิทธิพลให้บุคคล หรือกลุ้มบุคคลใช้ความพยายามในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายในสถานการณ์หนึ่ง และสรุปว่ากระบานการภาวะผู้นำ (leadership) เป็นความสัมพันธ์ของผู้นำ (leader) ผู้ตาม (follower) และสถานการณ์ (situation) ซึ่งเขียนสัญลักษณ์ได้ดังนี้ L = f (l,f,s)
Bass (1998, p. 29) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ภาวะผู้นำคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของผู้ตามและต้องได้รับผลเกินเป้าหมายที่กำหนด ทัศนคติ ความเชื่อ ความเชื่อมั่น และความต้องการของผู้ตามต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากระดับต่ำไปสู่ระดับที่สูงกว่า


จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า ภาวะผู้นำคือ ความสามารถของแต่ละบุคคลในอันที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมหรือการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มโดยใช้การชักชวน จูงใจให้บุคคลหรือกลุ่มปฏิบัติตามความคิดเห็น ความต้องการของตนได้ด้วยความเต็มใจ และยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ดังนั้น ผู้นำ คือ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลหรือกลุ่มในอันที่ก่อให้เกิดการกระทำกิจกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม
ผู้บริหารในฐานะผู้นำขององค์กรจะต้องมีภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อความสำเร็จขององค์กร เพราะเป็นบุคคลที่ตัดสินใจว่าควรทำอะไร และเป็นผู้นำสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เหตุผลที่ผู้นำสำคัญกว่าวัฒนธรรมขององค์กรและเครื่องมือการจัดการ เพราะผู้นำเป็นผู้สร้างวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ดีขององค์กรไม่สามารถเกิดขึ้นหรือหล่อหลอมตนเองได้ แต่ต้องอาศัยผู้นำสร้างขึ้นมา (ทิชี่ , 2542, หน้า35-36)
ผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำ (leadership) จะช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ขององค์กรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยคือ

(1) ช่วยให้บุคลากรขององค์กรได้รับการประสานงาน และแนะนำการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด

(2) ช่วยรักษาสถานภาพขององค์กรให้มรความมั่นคง โดยการปรับเปลี่ยนหรือปรับตัวตามเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม

(3) ช่วยประสานฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กรให้ดำเนินการได้ตามลักษณะพลวัตภายในองค์กร โดยเฉพาะใจช่วงที่องค์กรอยู่ในระหว่างการพัฒนาการเปลี่ยนแปลง ช่วยแก้ไขความขัดแย้งระหว่างส่วนต่าง ๆ และ (4) ช่วยให้บุคลากรในองค์กรบรรลุถึงความต้องการต่าง ๆ ทั้งในด้านความพึงพอใจและเป้าหมายส่วนบุคคล โดยจะเป็นผู้ที่ชักชวน จูงใจให้ผู้ร่วมงานมีความยินดี และมีความเต็มใจที่จะร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย (Steers, 1977 p. 142)
ทฤษฎีภาวะผู้นำภายใต้การศึกษาความเป็นผู้นำ โดยทั่วไปทฤษฎีความเป็นผู้นำจะมุ่งที่เป้าหมายอย่างเดียวกันคือ การระบุองค์ประกอบหรือปัจจัยที่ทำให้ผู้นำมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการศึกษาความเป็นผู้นำที่สำคัญสามอย่างที่ถูกนำเสนอ คือ (1) ทฤษฎีคุณลักษณะ (2) ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม และ (3) ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ วิธีการศึกษาแต่ละอย่างจะมีแนวทางที่แตกต่างกันต่อการทำความเข้าใจการคาดคะเนความสำเร็จของการเป็นผู้นำและการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำที่กำลังได้รับความสนใจในช่างเวลานี้ คือ

ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป (transformation leadership) (สมยศ นาวีการ, 2540 หน้า 159) ซึ่งเป็นแนวคิดของ เจมส์ แมคเกรเกอร์ เบอร์นส์ (Burns) และเป็นผู้บัญญัติคำว่า ‘‘transformation leadership’’ ได้รับรางวัลพูลิทเซอร์แห่งปี 1978 ( ทิชี่ , 2542, คำนำ) ‘‘transformation leadership’’ เป็นแนวความคิดที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายจนได้ถูกนำไปกล่าวถึงในหนังสือหลายเล่ม และได้รับการแปลในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ‘‘ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง’’ ‘‘ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง’’ ‘‘ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป’’ เป็นต้น

บรรณานุกรม
ประพันธ์ ผาสุกยืด. (2541). ทางเลือก ทางรอด. กรุงเทพมหานคร: เอเอาร์ อินฟอร์เมชั่น แอนด์ พับบลิเคชั่น.
ทิชี่.โนเอล เอ็ม. (2542). กลไกสร้างภาวะผู้นำ (ทรงวิทย์ เขมเศรษฐ์ แปล). กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ดี.

ผู้นำที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร

1. ความรู้ (Knowledge)

การเป็นผู้นำนั้น ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ความรู้ในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะความรู้

เกี่ยวกับงานในหน้าที่เท่านั้น หากแต่รวมถึงการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมในด้านอื่นๆ ด้วย การจะเป็นผู้นำที่ดี หัวหน้างานจึงต้องเป็นผู้รอบรู้ ยิ่งรอบรู้มากเพียงใด ฐานะแห่งความเป็นผุ้นำก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น

2. ความริเริ่ม (Initiative)

ความริเริ่ม คือ ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ได้ด้วย

ตนเอง โดยไม่ต้องคอยคำสั่ง หรือความสามารถแสดงความคิดเห็นที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีขึ้น หรือเจริญขึ้นได้ด้วยตนเอง

ความริเริ่มจะเจริญงอกงามได้ หัวหน้างานจะต้องมีความกระตือรือร้น คือมีใจจดจ่องานดี มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่ มีพลังใจที่ต้องการความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า

3. มีความกล้าหาญและความเด็ดขาด ( Courage and firmness)

ผู้นำที่ดีจะต้องไม่กลัวต่ออันตราย ความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทั้งทางกาย

วาจา และใจ

ผู้นำที่มีความกล้าหาญ จะช่วยให้สามารถผจญต่องานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

นอกจากความกล้าหาญแล้ว ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะอันหนึ่งที่จะต้องทำให้เกิดมีขึ้น

ในตัวของผู้นำเองต้องอยู่ในลักษณะของการ “กล้าได้กล้าเสีย” ด้วย

4. การมีมนุษยสัมพันธ์ (Human relations)

ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักประสานความคิด ประสานประโยชน์สามารถทำงานร่วมกับคนทุกเพศ

ทุกวัย ทุกระดับการศึกษาได้ ผู้นำที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีจะช่วยให้ปัญหาใหญ่เป็นปัญหาเล็กได้

5. มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริต ( Fairness and Honesty)

ผู้นำที่ดีจะต้องอาศัยหลักของความถูกต้อง หลักแห่งเหตุผลและความซื่อสัตย์สุจริต

ต่อตนเองและผู้อื่น เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยสั่งการ หรือปฏิบัติงานด้วยจิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากความลำเอียง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก



6. มีความอดทน (Patience)

ความอดทน จะเป็นพลังอันหนึ่งที่จะผลักดันงานให้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ อย่างแท้จริง

7. มีความตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม ( Alertness )

ความตื่นตัว หมายถึง ความระมัดระวัง ความสุขุมรอบคอบ ความไม่ประมาท ไม่ยืดยาขาดความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อเหตุการณ์

ความตื่นตัวเป็นลักษณะที่แสดงออกทางกาย แต่การไม่ตื่นตูม เป็นพลังทางจิตที่จะหยุดคิดไตร่ตรองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้จักใช้ดุลยพินิจที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือเหตุต่างๆได้อย่างถูกต้อง

พูดง่ายๆ ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักควบคุมตัวเองนั่นเอง (Self control)

8. มีความภักดี (Loyalty)

การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าที่ดีนั้น จำเป็นต้องมีความจงรักภักดีต่อหมู่คณะ ต่อส่วนรวมและต่อองค์การ ความภักดีนี้ จะช่วยให้หัวหน้าได้รับความไว้วางใจ และปกป้องภัยอันตรายในทุกทิศได้เป็นอย่างดี

9. มีความสงบเสงี่ยมไม่ถือตัว (Modesty)

ผู้นำที่ดีจะต้องๆไม่หยิ่งยโส ไม่จองหอง ไม่วางอำนาจ และไม่ภูมิใจในสิ่งที่ไร้เหตุผล

ความสงบเสงี่ยมนี้ ถ้ามีอยู่ในหัวหน้างานคนใดแล้ว ก็จะทำให้ลูกน้องมีความนับถือ และให้ความร่วมมือเสมอ



http://www.sombatlegal.com

นางสาวปลิดา หนูศิริ รุ่น 26 หมู่ 2 เอกการจัดการทั่วไป 5330125401394 เรียนร่วม



ครีมมะหาด


สามารถสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชม http://www.thaiwhiteskin.com/


สินค้าพร้อมส่งทุกชิ้น ทางร้านจำหน่าย โลชั่นมะหาด ครีมทาหน้ามะหาด แป้งโฟม สปาพอกตัวขาว สปาพอกข้าวบด ครีมน้ำนมข้าว ครีมอาบน้ำนมข้าว สบู่มะหาด สบู่กลูต้านมข้าว เซรั่มมะหาด อื่นๆ

ประกาศ !! ลูกค้าท่านใดที่โอนเงินมา รบกวนแจ้งโอนเงินด้วยนะครับ เพราะสินค้าขายดีมากๆ ยอดเข้ามาหลายยอด จะได้ไม่ตกหล่นนะครับ การโอนขอให้มีเศษสตางค์ทุกครั้งเพื่อง่ายต่อการเช็คยอด หลังจากเช็คยอด จะรีบจัดส่งให้นะครับ!! ลูกค้าสามารถเช็คเลข EMS แต่ละวันได้ที่ เว็ปบอร์ด

โอนเงินวันนี้ ส่งของวันถัดไป (ต้องแจ้งโอนก่อนเที่ยงคืน) เพราะสินค้าขายดีมากๆ ทำให้แพ็คของกันไม่ทันเลยทีเดียว!!

มะหาดของทางร้านเป็นของแท้ 100% มี อย. ปลอดภัยแน่นอน

เลขที่จดแจ้ง อย. โลชั่นมะหาดของทางร้านเรา


ขายโลชั่นมะหาด แอปเปิ้ล เข้มข้น สูตรขาว 2 เท่า โลชั่นมะหาด สูตรขาว 2 เท่า แอปเปิ้ล แบบ กิโล สุดคุ้มเพียง 440 บาท ทากันแบบไม่ต้องกลัวเปลือง ยังไงก็ขาวชัวร์



ขายโลชั่นมะหาด เบอร์รี่ เข้มข้น สูตรขาว 2 เท่า โลชั่นมะหาด สูตรขาว 2 เท่า เบอรรี่ แบบ กิโล สุดคุ้มเพียง 440 บาท ทากันแบบไม่ต้อง







นางสาววรางคณา ศิลรักษ์ 5130125401211 การจัดการทั่วไปรุ่น 19

www.ocsc.go.th เป็นเวปไซด์ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีรายละเอียดว่าสถานที่ราชการใดรับสมัครงานบ้าง ตำแหน่งที่เปิดสอบ ขั้นตอนวิธีการสมัคร ระเบียบและวิธีการสอบ ประกาศผลสอบ ถ้าท่านใดสนใจที่จะทำงานราชการสามารถเข้าไปดูข้อมูลข่าวสารต่างๆจากเวปไซด์นี้ได้เลยค่ะ

นายนภดล ถนอมนวล รหัส 225

POSDCOORB เทคนิคการบริหารงาน GuLick & Urwick

มีการศึกษา เรียนรู้ ใช้ ในวงการต่างๆมานาน โดยเฉพาะวงการศึกษานำมาใช้ในการบริหารการศึกษาอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยวิธีการจัดการ 7 ขั้นตอน ดังนี้

PLANNING การวางแผน

เป็นเทคนิคกระบวนการบริหารที่สำคัญจำเป็นต้องทำเป็นขั้นตอน ด้วยความประณีต ระมัดระวัง มีความหมายสำคัญ ดังนี้

การวางแผนเป็นการใช้สามัญสำนึกอย่างมีเหตุผล

การวางแผนเป็นการมองปัญหาที่มีอยู่และพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้น

การวางแผนเป็นการหาทางเลือกที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานใดๆ ภายในเวลาที่กำหนด

การวางแผนเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การวางแผนเป็นความพยายามต่อเนื่องในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย

การวางแผนเป็นการใช้ความรู้ความสามารถวินิจฉัยเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต

กิจกรรมการวางแผน 6 กิจกรรม คือ

การกำหนดวัตถุประสงค์

การกำหนดทางเลือก

การกำหนดวิธีการบริหารทรัพยากร

การกำหนดวิธีการดำเนินงาน

การกำหนดวิธีการควบคุม

การกำหนดวิธีการประเมินผล

ขั้นตอนในการวางแผน

ขั้นเตรียมการ เป็นการเตรียมข้อมูล บุคลากร ทรัพยากร วัตถุประสงค์ เป้าหมายในการดำเนินการ รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

ขั้นวิเคราะห์สรุป วิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ

ขั้นดำเนินการวางแผน กำหนดว่าจะทำอะไร What อย่างไร how ใครทำบ้าง who ที่ไหน where และเมื่อไหร่ when

ขั้นประเมินผล เป็นการสรุปผลการวางแผน เช่นบอกเวลาที่ได้รับทั้งทางตรง และทางอ้อม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น สุดท้ายนำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติ

ORGANIZING การจัดองค์กร

การจัดองค์กร เป็นภารกิจของหน่วยงาน องค์การ ที่จะร่วมกันจัดรูปงานเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นมีเป้าหมายที่แน่นอน มีการจัดการที่เป็นรูปแบบ ทุกคนในหน่วยงานมีความรู้ ความเข้าใจกลไกการดำเนินงานภายใต้ระบบขององค์กรอย่างชัดเจน

เอกภาพในการบังคับบัญชา Unity of command การจัดองค์กรจำเป็นต้องกำหนดเส้นทางเดินของงาน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้ายของการทำงาน อำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ความมีประสิทธิภาพขององค์กรนั้น เอกภาพในการบังคับบัญชามีความสำคัญ หน่วยงานต้องจัดให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ส่วนต่อการปฏิบัติ และรายงาน การวิเคราะห์ประเมินผล สิ่งสำคัญในการสร้างความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา อยู่ที่ความชัดเจนในการวินิจฉัยสั่งการ การรับรู้ในความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ การรับรู้เป้าหมาย วัตถุประสงค์สูงสุดของงาน โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไงที่ผ่านการวิเคราะห์ วางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว

องค์ประกอบในการจัดองค์กร

ภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร

ขอบข่าย ความรับผิดขอบของงานในองค์กร

สายการบังคับบัญชา การเลื่อนไหลของสายงาน

จำนวนบุคลากร หรือผู้รับผิดชอบในแต่ละงาน แต่ละหน้าที่

การประเมินผลและการควบคุมงาน

ลักษณะองค์กรที่มีความสำคัญในปัจจุบัน 2 ส่วน คือ

1. การจัดองค์กรในภาคราชการ Bureaucratic Section ภาคราชการให้ความสำคัญกับโครงสร้างการบริหาร การจัดลำดับชั้นของสายการบังคับบัญชา ลำดับขั้นการตัดสินใจเป็นรูปเจดีย์ คือ ผู้บริหารสูงสุดอยู่ยอดแหลมของเจดีย์ แล้วมีผู้มีอำนาจ ตามภารกิจ รองลงมาตามลำดับ จนถึงหน่วยปฏิบัติ การดำเนินงานเน้นที่ความสำเร็จของงานเป็นประเด็นหลัก

2. การบริหารงานธุรกิจเอกชน Private Section ภาคธุรกิจเอกชนจะไม่ซับซ้อนเหมือนภาคราชการ องค์การจะมีปลายแหลมที่ยอด แต่ฐานจะแยกเร็วกว่าของภาคราชการ เอกชนจะเน้นที่ภาคบริการ ความพอใจของลูกค้า มากกว่าความสำเร็จของงาน ดังนั้น การจัดองค์การจึงมีลักษณะเหมือนหมวดนักรบไทยโบราณ ผู้จัดการ หรือเจ้าของกิจการอยู่บนยอด และมีผู้ปฏิบัติหรือรองผู้จัดการอยู่ในขั้นรองลงมาไม่มากนัก ส่วนผู้ปฏิบัตินี้จะมีตั้งแต่รองผู้จัดการลงไป



STAFFING การบริหารงานบุคคล

การบริหารงานบุคคล Staffing หรือ Personnel Administration หรือ Personnel Management หมายถึง การดำเนินงานเกี่ยวกับบุคคลในการทำงานในหน่วยงานหรือ องค์การเพื่อให้บุคคลมาปฏิบัติงานตามที่ต้องการ และให้บุคคลได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีกระบวนการสำคัญ ดังนี้

การกำหนดนโยบาย กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เพื่อเป็นกรอบในการบริหาร นโยบายจะเริ่มตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล นโยบายในแผนพัฒนาระดับกระทรวง มติคณะรัฐมนตรี ส่วนภาคธุรกิจเอกชน เน้นที่นโยบายและระเบียบที่จำเป็นแก่การดำเนินงาน

การวางแผนกำลังคน Man Power Planning เป็นกระบวนการวางแผนว่าหน่วยงานมีกำลังคนกี่คน แต่ละคนปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ความรู้ความสามารถด้านใดบ้าง เพื่อความเหมาะสมกับงาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่แผนความต้องการ แผนการให้ได้มาของกำลังคนและแผนการใช้กำลังคน

การจัดบุคคลและการสรรหาบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง Placement & Recruitment

การสรรหาบุคลา เป็นกระบวนการที่จะประชาสัมพันธ์หน่วยงานเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมสำหรับองค์กร ให้มาสมัคร เพื่อคัดเลือก Selection คนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุดเข้าร่วมปฏิบัติงานในองค์กร

การจัดบุคคล Placement หมายถึงการจัดบุคคลที่ผ่านการคัดเลือก ให้ดำรงตำแหน่งที่หน่วยงานวางแผนไว้แล้ว เพื่อให้บุคคลปฏิบัติหน้าที่เกิดประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด

การพัฒนาบุคลากร Human Resource Development เป็นกระบวนการเกี่ยวกับการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถของบุคลากรที่จะปฏิบัติงานในองค์กร การพัฒนาบุคลากรสามารถพัฒนาโดยองค์เอง หรือ ให้หน่วยงาน อื่นช่วยพัฒนาก็ได้ ทั้งนี้ ยึดความรู้ความสามารถที่บุคลาที่ได้รับ เป็นประโยชน์ต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงแก่องค์กร

การให้เงินเดือนและค่าตอบแทน Salary or Compensation ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ผู้บริหารเจ้าของกิจการ ต้องจ่ายให้ข้าราชการ หรือลูกจ้าง เพื่อเป็นค่ายังชีพ ทดแดนการทำงาน ถือเป็นรางวัลสำหรับการทำงาน การให้ค่าตอบแทน เงินเดือน โดยยึดถือระบบคุณธรรม ดังต่อไปนี้

หลักความสามารถ Competence ยึดผลงานตามความสามารถเหมาะกับเงินค่าตอบแทน

หลักความเสมอภาค Equality ให้โอกาสคนเสมอกันไม่เลือกชั้นวรรณะ

หลักความมั่นคง Security ถือว่าการเข้าทำงานในองค์เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง การกำหนดค่าตอบแทนเงินเดือน ให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิต การเข้า ออก จากงาน มีกฎหมาย กฎเกณฑ์รอบรับที่ชัดเจน เป็นธรรม

ความเป็นกลางทางการเมือง Political neutrality คือ การทำงานไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเปลี่ยนรัฐบาล

หลักสำคัญในการให้เงินเดือน คือ งานมาก งานยาก รับผิดชอบสูงให้เงินเดือนสูง งานน้อย งานไม่ยาก รับผิดชอบน้อย เงินเดือนน้อย

งานทะเบียนประวัติหรือข้อมูลบุคลากร เป็นงานธุรการของบุคคล ข้อมูลการเข้ามาทำงานของบุคลากร ตั้งแต่ข้อมูลส่วนตัว การศึกษา การทำงาน การเลื่อนตำแหน่ง การพัฒนาศึกษาอบรม เงินเดือน งานข้อมูลทะเบียนประวัติมีความสำคัญมาก คนที่ออกจากงานเพื่อไปทำงานหน้าที่ตำแหน่งใหม่หากได้รับคำรับรองหรือหลักฐานการผ่านงานเดิมมาด้วย มัดได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีประสบการ มีความชำนาญต่างๆ ตามที่หน่วยงานต้องการ

งานประเมินผลการปฏิบัติงานหรือการพิจารณาความดีความชอบ การประเมินความดีความชอบของบุคคลเป็นวิธีการสำคัญที่ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ธรรมชาติของคนเมื่อทำงานไปย่อมเกิดความเฉื่อย เมื่อได้รับการประเมินผลเป็นระยะ และได้ขวัญกำลังใจย่อมทำให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

งานวินัย และการดำเนินงานทางวินัย เป็นกิจกรรมสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลไม่ให้ทำความผิด แบบแผน ธรรมเนียมปฏิบัติขององค์กร เป็นภารกิจสำคัญของผู้บริหารในการสอดส่อง ดูและ ความประพฤติ การรักษาวินัยของบุคลากรในองค์กร ให้ดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายขององค์กรที่วางไว้ ถ้ามีบุคคลละเมิดต้องดำเนินการตามแบบแผนตามสมควร

สวัสดิการ ประโยชน์เกื้อกูล และสิทธิประโยชน์

การให้ออกจากราชการ และการรับบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ พนักงานองค์กรเอกชน มีข้อตกลง ข้อกำหนด อายุในการทำงาน เป็นข้อกำหนดข้อตกลงก่อนการทำงาน หรือการจ้างงาน การออกจากงานเป็นบทสุดท้ายของการบริหารงานบุคคล การออกจากงานมี 2 กรณีที่สำคัญ

ออกตามประสงค์พนักงาน เช่น ลาออก

ออกเพราะความต้องการของหน่วยงาน เช่น เกษียณอายุ ยุบเลิกตำแหน่ง ออกเพราะทำผิด ซึ่งองค์กรต้องให้ออกตามข้อตกลง

DIRECTING การอำนวยการ

หมายถึง การส่งเสริม ช่วยเหลือ ปรึกษา แนะนำ สั่งการ ประสานกิจกรรม การติดต่อ การมอบหมายภารกิจต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือ แผนที่วางไว้

กิจกรรมอำนวยการที่สำคัญ จำแนกได้ดังนี้

การประสานงาน Coordinating

การตัดสินใจและสั่งการ Decision Makinh

การสั่งงาน Oder

การติดตามดูแลกำกับ และให้คำปรึกษา Supervising & Guiding

การสร้างขวัญกำลังใจ และแรงจูงใจ Moral and Motivating

การใช้ภาวะผู้นำ Leadership

การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ Human Relation

การจัดระบบสื่อสารและการสร้างเครือข่าย Net Work and Communicating

การมอบหมายงานและการมอบอำนาจหน้าที่ Take Oder & Delegating

การส่งเสริมกิจกรรมอื่นๆ Supporting

COORDINATING การประสานงาน

การประสานงานหมายถึง การจัดระเบียบวิธีการทำงานเพื่อ ให้ผู้ปฏิบัติรู้ถึงวัตถุประสงค์ และรายละเอียดของงานจนสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะงานที่ได้รับมอบหมาย งานมีการร้อยรัดต่อเนื่องกันจนเสร็จสิ้นภารกิจของหน่วยงานที่ได้ร่วมกันวางไว้ มีลักษณะสำคัญดังนี้

1. การประสานงานเป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหาร หมายถึง เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่การวางแผน เรียกประสานแผน เพื่อให้คนวางรูปแบบการทำงานตามความรู้ความสามารถ เรียกว่า ประสานคน และประสานความเข้าใจทางความคิดเรียกประสานงานความคิด โดยเรียกการประสานทั้งหมด ว่า การประสานงาน

2. การประสานงานเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร หรือผู้จัดการ

3. การประสานงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือ

4. การประสานงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร

5. การประสานงานจะเป็นกิจกรรมที่อยู่ในทุกขั้นตอนของการทำงาน

6. การประสานงานเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสื่อสัมพันธ์

วัตถุประสงค์ของการประสานงาน

ลดความขัดแย้ง ระหว่างผู้ปฏิบัติกับองค์กร

ช่วยให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงาน

เกิดประสิทธิภาพ ประหยัดแรงงาน เวลา และวัสดุอุปกรณ์

วิธีการประสานงานที่สำคัญ

การจัดทำแผนผัง กำหนดหน้าที่การงานของหน่วยงาน แผนภูมิ ป้ายทะเบียน เป็นต้น

จัดทำความสั่ง กำหนดหน้าที่ชัดเจน

ตั้งคณะกรรมการ ตามแผนงาน

ทำแผนปฏิบัติงาน และแผนควบคุมการปฏิบัติงาน

การกำหนดส่งงาน

การระบุการจัดสรรงบประมาณ การจัดกิจกรรม การควบคุมกิจกรรม

การจัดประชุม สัมมนา การกระจายข่าว

หลักการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมในการทำหน้าที่ประสานงาน

เป็นผู้ที่เข้าใจภารกิจองค์กรเป็นอย่างดี

เป็นผู้มีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ เป็นผู้ใหญ่

เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง

เป็นผู้มีความสามารถในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์

เป็นผู้มีศิลปะในการพูดโน้มน้าวใจคน

CONTROLLING การควบคุมงาน

การควบคุมงาน หมายถึง การดำเนินการในการกำกับดูแลการดำเนินงานต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ การควบคุมงานมีลักษณะเป็นการกำหนดเกณฑ์ หรือ เป้าหมายของการปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้าแล้วเปรียบเทียบกับผลการปฏิบัติงานที่ปรากฏในด้านต่างๆ ดังนี้

ด้านปริมาณ Quantity

ด้านคุณภาพ Quality

ด้านเวลา Time

ด้านงบประมาณ หรือต้นทุน Budget or Cost

วิธีการควบคุมงานให้มีประสิทธิภาพ

กำหนดเกณฑ์มาตรฐาน หรือเป้าหมายการปฏิบัติงานในลักษณะที่ท้าทาย

จัดระบบติดต่อสื่อสารให้ทั่วถึง Net work ให้มีการประสานงานสอดคล้องต่อเนื่อง สามารถรายงานกิจกรรมได้ทันท่วงที

ควรใช้วิธีการควบคุมงานตามแผนงานบริหาร จุดประสงค์เป็นตัวชี้นำ M.B.O.

ควรใช้วิธีการควบคุมงานแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เห็นผลชัดเจนตามจุดสำคัญ

ให้กำลังใจอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ

พยายามป้องกันพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน ให้เป็นไปในเชิงบวก สร้างสรรค์

กิจกรรมควบคุมงานที่สำคัญ

กำหนดแผนผัง แผนภูมิควบคุมงาน ชัดเจน Bar Chart, Gantt chart

ใช้งบประมาณเป็นตัวควบคุมงาน

ควบคุมโดยกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ MBO

ควบคุมงานโดยใช้ห้องปฏิบัติการ

ปัญหาที่พบบ่อยในการควบคุมงาน

การจัดระบบงานขาดประสิทธิภาพ

การไม่ให้ความสำคัญของการควบคุมงานของผู้บริหาร

ขาดความรู้ เทคนิคที่เหมาะสมในการควบคุมงาน

ขากหลักเกณฑ์ มาตรฐานในการควบคุมงาน

ขาดการร่วมมือของผู้ปฏิบัติงาน

REPORTING การรายงานผลงาน

การรายงานผลงาน หมายถึง การที่ผู้มีหน้าที่เสนอผลของงาน หรือกิจกรรม ให้ผู้บริหาร หรือผู้ร่วมงานได้ทราย ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 2 ลักษณะ

รายงานขณะปฏิบัติงาน เป็นการรายงานตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงาน การรายงานอาจรายงานด้วยวาจา หรือ ด้วยลายลักษณ์อักษร ปัจจุบัน มีการรายงานสู่สาธารณชน เช่น ทางสื่อมวลชน เพื่อสร้างความเข้าใจ ความพอใจแก่ประชาชน

การรายงานเมื่อสิ้นสุดแผนงาน เป็นการรวบรวมผลการดำเนินงานทั้งหมด สรุป เป็นรายงานผลการดำเนินงาน

สิ่งที่จำเป็นควรเน้นพิเศษในการรายงาน

1. รายงานเป็นกระบวนการ INPUT PROCESS OUT PUT

2. รายงานการใช้ทรัพยากร มีการใช้ทรัพยากรอะไรไปบ้าง มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร

3. รายงานเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้น

4. รายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น Feed Back เป็นการรายงานในภาพรวม



BUDGETING การงบประมาณ

การงบประมาณ มองที่การจัดหา จัดทำ และบริหารงบประมาณ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร งบประมาณ Budget หรือต้นทุน Cost คือ เงินหรือทรัพย์สินของที่ใช้ในการดำเนินงานขององค์กร หมายถึงทุนในการดำเนินงาน แบ่งลักษณะงบประมาณได้ 2 ภาค

งบประมาณภาคราชการ Bureaucratic Budgeting จัดสรร จัดทำโดยกระทรวงทบวงกรม ต่างๆ ไปตามความจำเป็น โดยจัดสรรตามแผนงานโครงการ

งบประมาณของภาคเอกชน Private Budgeting เป็นทุนที่บริษัท ห้างร้าน ได้มาจากการระดมทุน เช่น หุ้น เงินกู้จากแหล่งธุรกิจ หรืออาจมาจากทุนส่วนตัวการบริหาร จัดสรรมาจากคณะกรรมการ Board ตามแผนงานที่คณะกรรมการได้กำหนดนโยบาย หรือกลยุทธ์ไว้

ความสำคัญของงบประมาณ

งบประมาณ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร การดำเนินงานต้องอาศัยเงินงบประมาณ ส่วนราชการ ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น เงินเดือน การก่อสร้าง รถยนต์พาหนะต่างๆ จำเป็นต้องจัดหาด้วยเงินงบประมาณทั้งสิ้น



แหล่งที่มาhttp://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=8&ved=0CGAQFjAH&url=http%3A%2F%2F202.143.156.3%2Fadmin%2Fadmin9%2Fpos.doc&ei=Yq31T9bgAcXmrAfe4sXCBg&usg=AFQjCNE8npUXE2N1FZpptHChtYBy5w1-dg&sig2=-oteg5sVDydYowpVKQ0Dcw

ส.อ.หญิง ณัฐธยาน ธนโชติวราพงศ์ รหัส 204 ส.อ.หญิง ณัฐธยาน์ ธนโชติวราพงศ์ รหัส 204

http://aseancorner.blogspot.com/2011/11/national-dishes-of-asean.html

National Dishes of ASEAN อาหารยอดนิยมของประเทศสมาชิกอาเซียน

มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีพุทธศักราช 2558 (ASEAN Community 2015) โดยนำเสนอข้อมูลของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ทางด้านอาหารยอดนิยมของประเทศสมาชิกอาเซียน ภูมิปัญญาด้านการทำอาหารของชาวอาเซียนไม่แพ้ภูมิภาคใดในโลก อาหารชนิดใดจะเป็นที่ขึ้นชื่อและได้รับความนิยม จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติของ 10 ประเทศอาเซียน

สอาด ไหวพริบ (ปุ้ย) รหัส 5130125401218

http://www.truemove.com/th/index.rails สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรโมชั่นมือถือในเครือข่ายทรูมูฟหรือทำการสั่งซื้อหรือสั่งจองโทรศัพท์มือถือประเภท Smart phone และนอกจากนี้ยังสามารถสอบถามข้อมูลออนไลน์กับเจ้าหน้าที่ที่คอยให้บริการที่หน้าเวปได้อีกด้วยค่ะ

น.ส. สุดา หวังสะมาแอล 5231935401207



กลูต้าไธโอน

ลักษณะของกลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในเซลล์พบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ตับ (จนถึง 5 mM)
กลูต้าไธโอนถูกสังเคราะห์โดย Glutathione synthase โดยการใช้กรดอะมิโน 3 ชนิด : L-cysteine, L-glutamate และ glycine
ตามธรรมชาติมี 2 รูปแบบ ได้แก่ reduced Glutathione (GSH) และ oxidized Glutathione disulphide (GSSG)
อำนวยความสะดวกต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน
เป็นสาร mitochondrial antioxidant

การลดลงของกลูต้าไธโอน
แสดงให้เห็นเด่นชัดอย่างเฉียบพลันในการขาดกลูต้าไธโอนเมื่อรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด
ผลของการลดลงของกลูต้านี้เกิดใน hepatocyte ชักนำให้ตับวายและเสียชีวิตได้
การขาดกลูต้าไธโอนเรื้อรังมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางภูมิคุ้มกัน เพิ่มการเกิดเนื้อร้าย และในกรณีโรคเอดส์ อาจเร่งให้เกิดโรคขึ้นมาได้

ข้อบ่งใช้และการใช้ประโยชน์
รักษาพิษจากยาพาราเซตามอล
ใช้เบื้องต้นสำหรับ : มะเร็งบางชนิด โรคไขมันอุดตันที่ผนังหลอดเลือด (atherosclerosis) โรคเบาหวาน ปอดมีความผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคปอดอุดกั้น สูญเสียการได้ยินเนื่องมาจากเสียง ผู้ชายที่เป็นหมัน ป้องกันหรือทำให้พิษดีขึ้น ต้านเชื้อไวรัส ยากำพร้าในการรักษาเอดส์ที่สัมพันธ์กับภาวะขาดสารอาหาร

ผลข้างเคียง
ผิวหนังแดง
ความดันโลหิตต่ำ
หอบหืดเฉียบพลัน
อาจเกิด anaphylactic reaction จากการปนเปื้อนหรือความไม่บริสุทธิ์

ข้อห้ามและควรระวังเป็นพิเศษ
ผู้ที่แพ้ยาฉีดกลูต้าไธโอน
ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
แพ้, หอบหืด



สารที่ทำให้ขาดกลูต้าไธโอน
การสูบบุหรี่
ดื่มแอลกอฮอล์
คาเฟอีน
ยาพาราเซตามอล
ยา
ออกกำลังกายหนัก
รังสี X Y และยูวี
Xenobiotics
Estradiol

อ้างอิงจาก : www.glutacare.com

ธนกฤต อาชีวะประดิษฐ 053 การจัดการทั่วไป

http://p-ach.com/
เป็นเว็บเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นต่างๆภายในสังคมไทยโดยมีการสอดแทรกข้อคิดและสาระดีๆ
ยังไงเพื่อนๆก็เข้าไปอ่านกันนะครับรับรองว่าจะทำให้คุณได้รู้จักเรื่องต่างๆที่คุณอาจมองข้ามไปดีมากขึน