หน้าเว็บ

นายวิทวัชร ยัสพันธุ์ การจัดการทั่วไปปี 4 รหัส 5210125401074



ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัวดังนี้

1.การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทั้งในด้านแรงงาน เทคโนโลยี รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลก เพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้

2.การเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและระบบโลจิสติกส์เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ

3.หาตลาดส่งออก ปรับปรุงการผลิตให้สามารถปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียนได้ รวมถึงการบริหารจัดการ การจัดหาวัตถุดิบราคาถูกและมีคุณภาพดีในภูมิภาค

4.การปรับปรุงโครงสร้างภาษีของไทยทั้งระบบเพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทย

5.ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการผลิต (Production Network) เพื่อให้สามารถสร้าง Economy of Scale เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

6.ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม

7.มีกลไกที่ก่อให้เกิดความเสมอภาคในการเข้าสู่ตลาดภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลจาก : กลุ่มพหุภาคี สำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ 15 มีนาคม 2554 http://www.thai-aec.com/108

ตัวอย่างบริษัทที่เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ตลาดโลกคือ กสิกรไทย

กสิกรไทยเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ กว่า 800,000 ล้านบาท จัดทัพสายงานวาณิชธนกิจ (Investment Banking Business Division) ส่งขุนพลผู้บริหารชั้นแนวหน้าพร้อมทีมงานจากเครือธนาคารฯ รวมกว่า 70 คน รองรับการเติบโตของตลาด ผ่านบริการที่ปรึกษาและบริการด้านการจัดหาเงินทุนแก่ธุรกิจทั้งในและต่าง ประเทศกว่า 220 โครงการ มั่นใจมีการลงทุนต่อเนื่อง ตั้งเป้าวาณิชธนกิจเคแบงก์เติบโตกว่า 35% ใน 3 ปีข้างหน้า ยึดตำแหน่งผู้นำตลาดต่อเนื่อง

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การลงทุนของธุรกิจไทยทั้งในประเทศและระดับภูมิภาคมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ช่วงหนึ่งปีนี้ จะมีมูลค่ารวมถึง 800,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการธุรกิจข้ามชาติมูลค่าสูงถึง 40% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด การลงทุนของธุรกิจเข้าสู่ตลาดระดับท้องถิ่นตามหัวเมืองจังหวัดใหญ่ต่าง ๆ ประมาณ 20% และการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานประมาณ 40% นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง เริ่มให้ความสนใจในการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่จะมีเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อรับ มือกับการแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก จึงทำให้เกิดความต้องการใน การให้คำปรึกษาทางธุรกิจเพื่อการจัดหาเงินทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดโครงสร้างทางการบริหารและการเงินอื่น ๆ

จากการเติบโตของความต้องการด้านเงินทุน และแนวโน้มการขยายธุรกิจสู่ระดับนานาชาติของลูกค้าดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารของสายงานวาณิชธนกิจ (Investment Banking Business Division) เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านการจัดหาเงินทุนและเป็นที่ปรึกษาทางการ เงินสำหรับรองรับการขยายตัวดังกล่าว โดยการจัดตั้งสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย ครั้งนี้ ธนาคารฯ จะมีนายภานพ อังศุสิงห์ เป็นผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย นายสุรเดช เกียรติธนากร เป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ดูแลด้านตลาดตราสารหนี้ (Debt Capital Markets) และนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ เป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ดูแลด้านตลาดตราสารทุน (Equity Capital Markets) โดยจะประสานงานร่วมกับนายวศิน วณิชยวรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท และทีมผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าของเครือธนาคารกสิกรไทยที่จะดูแลและให้ บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ

นายภานพ อังศุสิงห์ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวนโยบายสำคัญในการดำเนินงาน คือ การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มองความต้องการและการเติบโตของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ประกอบกับการมุ่งเน้นการประสานผลลัพธ์ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและ ครอบคลุมตลาดทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ (Debt Capital Markets) ซึ่งมีทั้งบริการที่ปรึกษาด้านการออกและเสนอขายหุ้นกู้ การจัดหาเงินกู้ร่วม การออกและเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และงานที่ปรึกษาทางการเงิน และการระดมทุนผ่านตลาดตราสารทุน (Equity Capital Markets) เช่น การให้บริการคำปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็น ครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) บริการที่ปรึกษาด้านการซื้อและควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions) และบริการที่ปรึกษาในการหาผู้ร่วมทุน (Joint Venture) โดยทีมงานที่มีความชำนาญในการทำงานระดับสากล ธนาคารฯ เชื่อว่าด้วยโครงสร้างการบริหารและความพร้อมของเครือธนาคารกสิกรไทย ที่สามารถสอดรับการให้คำตอบทางธุรกิจอย่างครบวงจร จะช่วยส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่ง ขันให้แก่ลูกค้า นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจไทย

ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ให้บริการด้านการระดมทุนในระดับแนวหน้าของตลาดอย่าง ต่อเนื่อง โดยโครงการระดมเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ของธุรกิจขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและสรุปผลแล้วประมาณ 70 โครงการ มูลค่ารวม 330,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ธนาคารกสิกรไทยเข้าไปให้บริการแก่ลูกค้าถึง 40 โครงการ ในมูลค่ารวม 225,000 ล้านบาท สามารถผลักดันให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารฯ เติบโตในช่วงครึ่งปีแรกแล้วประมาณ 10%

สำหรับโอกาสทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง มีโครงการธุรกิจที่จะระดมเงินทุนอีกกว่า 150 โครงการ มูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคาร ฯ คาดว่า ประมาณ 90% จะเป็นการระดมทุนจากการกู้ยืมและการทำสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการให้บริการด้านตลาดทุน ทั้งการให้คำปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็น ครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) และการเสนอขายหุ้นที่มีอยู่แล้วในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม (Public Offering: PO) และการซื้อและควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions) เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการจากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อาทิเช่น อุตสาหกรรมพลังงาน การก่อสร้าง ปิโตรเลียม อสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนอุตสาหกรรมภาคการบริโภคอย่าง อาหาร และ สินค้าทางการเกษตรอุตสาหกรรมต่าง ๆ

นอกจากนี้ แนวโน้มสำคัญอีกประการ คือ บริษัทขนาดใหญ่ของไทยมีการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศสูงขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเปิดเสรีทางการค้าในประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งอาจนำไปสู่การนำกิจการเข้าจดทะเบียนเพื่อการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ต่างประเทศ หรือการควบรวมกิจการข้ามชาติจำนวนมากขึ้น ทีมวาณิชธนกิจของธนาคารกสิกรไทยก็มีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดูแลให้ บริการแก่ธุรกิจในระดับภูมิภาคดังกล่าว ด้วยจุดแข็งของธนาคารฯ คือ มีแมคควอรีกรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันการเงินด้านวาณิชธนกิจการอันดับหนึ่งของออสเตรเลียเป็น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจของธนาคารฯ

นายภานพ กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยมีความมั่นใจถึงศักยภาพของทีมงานวาณิชธนกิจ ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกมิติ พร้อมเข้าดูแลการระดมทุนของธุรกิจลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ด้วยทีมงานมืออาชีพ เครือข่ายธุรกิจของธนาคารที่มีฐานลูกค้าในทุกกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมทั้งเครือข่ายพันธมิตรระดับสากล ทั้งนี้ ธนาคารฯ ตั้งเป้าหมายงานวาณิชธนกิจจะมีมูลค่าเติบโตกว่า 35% ในอีก 3 ปีข้างหน้า และครองตำแหน่งผู้นำตลาดต่อไป

http://m.kasikornbank.com/Mobile/TH/Pages/whathotdetail.aspx?iurl=/TH/WhatHot/Pages/IBDivision.aspx

ไม่มีความคิดเห็น: